จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2567 ไม่ใช่ได้รับผลกระทบเพียงเพราะคนเท่านั้น ช้างที่อยู่ในปางช้างริมน้ำแม่แตง อำเภอแม่แตง ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก จนต้องเร่งอพยพช้างที่อยู่ริมน้ำขึ้นไปไว้ที่สูงและเกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ หลังช้าง จากศูนย์บริบาลช้าง มูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อมถูกน้ำป่าพัด และตายถึง 2 เชือก จนทำให้ปี 2568 ชาวช้างต่างร่วมมือกันวางแผนป้องกันเพื่อไม่ให้ การสูญเสียขึ้นอีก


ธีรภัทร ตรังปราการ นายกสมาคมสหพันธ์ช้างไทย เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุเหตุการณ์แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดเวทีเสวนาอยู่หลายเวที เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึงเหตุการณ์อุทกภัยที่มาอย่างฉับพลัน ที่มีเหตุการณ์ช้างหลุดไปไปกับน้ำแล้วตาย
“ก็มีการพูดคุยกัน แต่สิทธิในการดูแลช้างนั้น ยังขึ้นอยู่กับเจ้าของช้างเป็นหลัก โดยพื้นที่จุดเกิดเหตุ สาธารณะชนไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ว่ามีการปรับปรุงอะไรไปมากน้อยแค่ไหน ถึงการรับมือกับเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลา แต่ปีนี้น้ำเริ่มมาแล้ว ถือว่าน้ำเร็วกว่าทุกปี และความสามารถในการอุ้มน้ำของป่าก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าเหตุการณ์จะหนักกว่าปีที่ผ่านมา”


ขณะที่ปางช้างหลายหลายแห่งที่อยู่ริมน้ำแตง เริ่มปรับตัวและเตรียมพื้นที่สำรอง ในการมัดช้าง เพราะช่วงนี้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาก หลาย ๆ ปาง จึงเริ่มเคลื่อนย้ายช้างไปมัดไว้ที่สูงแล้ว และติดตามสถานการณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องของการเตือนภัย ก็จะต้องมีการติดตามเพื่อเฝ้าระวัง และทำตามแผนที่วางไว้ ตามขั้นตอนการอพยพช้าง


“ควาญช้างที่อยู่กับช้างจะรู้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อมีภัยมา ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีสัญชาตญาณรวมถึงช้างก็จะมีสัญชาตญาณพิเศษ ที่จะรู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น บางครั้งจะไม่ต้องรอให้มีการเตือนภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ควรอพยพก่อนแล้ว ขณะเดียวกันการอพยพช้างขึ้นไปที่สูงก็ต้องระมัดระวังเหตุการณ์ดินสไลด์ด้วย”
วาสนา ทองสุข ผู้บริหารปางช้างแม่แตง หนึ่งในปางช้างที่อยู่ติดลำน้ำแตง เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ฝนเริ่มตกหนักทำให้ลำน้ำแตงเพิ่มปริมาณสูงขึ้น แต่ยังไม่ได้อยู่ในระดับวิกฤตหรืออันตราย หากฝนหยุดปริมาณน้ำก็เริ่มลดลง

“โดยปางช้างแต่ละปางที่อยู่ริมน้ำ จะเฝ้าระวังและขนย้ายช้างไปมัดไว้ที่สูง รวมถึงอพยพผู้คนและควาญช้างขึ้นที่สูง เพื่อป้องกันอันตราย ขณะเดียวกันในช่วงนี้ ยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวปางช้าง และขี่หลังช้างเที่ยวตามเส้นทางธรรมชาติ ทางปางจึงได้ปรับเปลี่ยนเส้นทาง งดขี่ช้างเดินลงน้ำ ปรับเปลี่ยนไปเดินบนถนน และตามเส้นทางธรรมชาติแทน เพราะน้ำป่านั้นมาเร็วและแรง จึงต้องป้องกันไว้ก่อน เพราะปีนี้ฝนมาเร็วกว่าทุกปี”



แม้จะมีการซ้อมแผนเตือนภัย วาสนา บอกว่า แต่สำหรับชาวช้างก็ยังคงกังวล เรื่องของสภาพอากาศเพราะปีนี้ฝนเริ่มตกหนัก และคาดว่าปริมาณน้ำ น่าจะเยอะกว่าปีที่ผ่านมา จึงต้องเฝ้าระวังและซ้อมแผนการอพยพที่จะต้องทำเมื่อเกิดภัยมาและทำโดยไม่ประมาท
“ที่ผ่านมาทีมช้างกู้ภัยแม่แตง เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ ฝึกซ้อมรับมือน้ำป่าไหลหลากเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์และการปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่แตง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากการเกิดอุทกภัยในช่วงฤดูฝน”
พระครูสังฆรักษ์วีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน หรือ พระครูอ๊อดวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ริเริ่มแนวคิด “ช้างกู้ภัย” เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา ทีมช้างกู้ภัยได้เข้าร่วมภารกิจจริงแล้วหลายกรณี เช่น การเคลื่อนย้ายต้นไม้ล้มทับบ้านเรือน และการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ประสบอุบัติเหตุกลางลำน้ำแม่แตง โดยเน้นย้ำว่าช้างมีศักยภาพในการเข้าถึงพื้นที่วิกฤตได้รวดเร็วและปลอดภัย ช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ประสบภัยอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยเหลือ

“จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมา ทำให้ชาวช้างตระหนักถึงการสูญเสีย และร่วมมือกันในการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแจ้งเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องของปริมาณน้ำ ซึ่งจะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้า และชาวช้างก็จะแจ้งเตือนไปยังปางช้างที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ให้อพยพช้างโดยเร่งด่วนตามขั้นตอน หากปางช้างไหนขนย้ายไม่ทันหรืออพยพไม่ทัน ความสำคัญของทีมกู้ภัยก็จะลงไปช่วยในพื้นที่ตามแผนการฝึกซ้อมที่ทำมาทั้งช่วยช้าง ช่วยผู้ประสบภัยคน ซึ่งก็จะมีการปฏิบัติเป็นขั้นตอนตามแผนซ้อมมา การช่วยเหลือในปัจจุบันนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เผื่อจะทำให้เกิดความปลอดภัย ทั้งคนและช้าง ซึ่งการสูญเสียช้างไปแต่ละเชือกนั้น ถือว่าเป็นการสูญเสียทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดของบ้านเมืองเรา จึงไม่อยากให้เกิดการสูญเสียต่อสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของบ้านเมืองอีก”