จัดแข่ง F1 ในไทย ออกสตาร์ทก็พังแล้ว

25 มิ.ย. 2568 - 01:23

  • ประกาศออกตัว เอาหน้า อย่างแรง จัดแข่ง F1 ในไทย

  • รัฐบาลจะใช้เงินเป็นหมื่นล้าน เพื่อความสะใจ แต่ไม่สนความคุ้มค่า

  • เดือดร้อนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องออกมาค้าน ได้ไม่คุ้มเสีย

จัดแข่ง F1 ในไทย ออกสตาร์ทก็พังแล้ว

รัฐบาลคุณหนูอิ๊งค์ ดันทุรัง เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดแข่งรถสูตร 1 ‘ฟอร์มูลา วัน’ ไม่สนใจคำปรามาสเหมือน ‘หมามองเครื่องบิน’ ใช้งบกว่า 4.1 หมื่นล้านบาท สลค.ทนไม่ไหวทำข้อสังเกตเตือนขาดทุนยับแน่อาจะแตะหลักหมื่นล้านบาท

ต้องยอมรับว่าหากมองความเป็นไปได้ในทุกมิติ ไอเดียนอกกรอบของอดีตนายกฯ ‘นิด’ เศรษฐา ทวีสิน ที่ทิ้งเป็นมรดกทางความคิดไว้ให้กับ นายกฯ‘อิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร ในการให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดแข่งรถยนต์ชิงแชมป์โลก FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP หรือการจัดการแข่งขันรถยนต์ ‘Formula One’ หรือ ‘F1’ 

คงไม่ต่าง อะไรกับ ‘หมามองเครื่องบิน’ จริงๆอย่างที่ ‘ครูใหญ่’ เนวิน ชิดชอบ ประมุขแห่งค่ายสีน้ำเงิน ประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่เป็นโต้โผใหญ่ในการจัดแข่งขัน มอเตอร์ไซค์ทางเรียบ ‘โมโตจีพี’ นิยามไว้จริง ๆ

แต่เพราะอาการ ‘ดันทุรัง’ ของผู้มีอำนาจในค่ายสีแดง ที่พยายามจะผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้นให้ได้ ถึงขนาดตัวนายกฯอิ๊งค์ยังอุตส่าห์บินไปดูการแข่งขัน‘โมนาโกกรังด์ปรีซ์’ เพื่อเจรจากับผู้บริหารของ ฟอร์มูลาวัน กรุ๊ป ‘Stefano Domenicali’  เสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพ เมื่อเดือนที่แล้ว

ภาระจึงมาตกหนักที่ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ‘สรวงศ์ เทียนทอง’ ที่ใส่อีกหมวกในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ต้องเล่นบท ‘ดัน’ แบบสุดๆ ชนิดหลับหูหลับตา เข็นโครงการให้ ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการท่ามกลางความงุนงงของบรรดารัฐมนตรีจากพรรคร่วมอื่นๆ

หากพลิกดูเอกสารที่ประกอบการพิจารณาในครม. มีบางคนบอกว่า หากเอาไปเสนอในที่ประชุมของคณะกรรมการบริษัทเอกชนรายใหญ่ๆของไทย คงโดน ‘โยน’ ทิ้งหรือ ‘ฟาด’ยับในที่ประชุมจนหาทางกลับบ้านไม่ถูก

แต่เพราะสภาพ ครม.ของพรรคร่วมในปัจจุบัน ต่างคนต่างก็เอามือ ‘ซุกหีบ’ ปิดทวารทั้ง 5 กันหมด เห็นดีเห็นชอบในหลักการกันหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ไม่ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในมิติต่างๆอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะในเรื่องของ‘ผลกระทบทางเศรษฐกิจ’ เพราะมีแนวโน้มจะขาดทุนยับเยิน จนต้องถามว่าจะจัดเพื่อสนองตัณหาของใครกันแน่

แนวคิดในเรื่องนี้ได้รับมติเห็นชอบจาก ครม.ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2567 โดยให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุม และนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร (กทม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทำการศึกษาความเป็นไปได้

ตามโครงการ ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโครงการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP หรือการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One หรือ F1 ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมเป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งตั้งแต่ปี 2571-2575 ภายใต้กรอบวงเงินกว่า 41,379 ล้านบาท !!! (อ่านว่าสี่หมื่นหนึ่งพันสามร้อยเจ็ดสิบเก้าล้านบาท) และยังมีการตั้งงบประมาณที่จำเป็นเร่งด่วนในส่วนของค่าออกแบบเป็นจำนวนเงิน 218 ล้านบาท  

จากการศึกษาสนามการแข่งขัน F1 ที่จะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ จะจัดในรูปแบบ ‘สตรีท เซอร์กิต’ คือใช้ สนามแข่งขันชั่วคราว ในพื้นที่บริเวณสวนจตุจักร รวมระยะทางประมาณ 5.7 กิโลเมตร โดยจะจัดแข่งทั้งหมด 3 วัน คือในวันศุกร์-อาทิตย์

โดยในวันศุกร์จะเป็นการทดสอบสนาม วันเสาร์จะเป็นการคัดเลือกตำแหน่งจุดสตาร์ท และวันอาทิตย์เป็นการแข่งขันจริง ทั้งนี้ในการแข่งขันจริงต้องใช้เวลาเตรียมสนามแข่งขันมากกว่า 3 วัน เพราะต้องมีการเตรียมทีม การศึกษาสนาม และวัดอุณหภูมิ

เส้นทางหลักของการแข่งขันจะอยู่บริเวณรอบๆสวนจตุจักร ประกอบด้วยสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์พื้นที่ 800 ไร่ สถานีขนส่งหมอชิต 2 พื้นที่ 100 ไร่ พื้นที่ใกล้เคียงตลาดนัดจตุจักร พื้นที่ 240 ไร่ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พื้นที่ 163 ไร่ บางส่วนหลังสำนักงานใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) รวมทั้งพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยรวม 2,000 ไร่

ที่ดูเหมือนจะเป็น‘ตลกร้าย’ คือในข้อเสนอที่อ้างถึงผลตอบแทนจากการเป็นเจ้าภาพ มีการระบุว่าจะได้รับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ และสังคมที่จะเกิดขึ้นจากการเป็นเจ้าภาพ F1 ในช่วงปี 2571- 2575 โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมการแข่งขันในแต่ละวันๆละ 99,875 คน รวม 3 วัน เท่ากับปีบละ 299,625 คน โดยมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทย 70%และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 30%

ในระหว่างการจัดการแข่งขัน จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และบริการขนส่ง ทำให้เงินสะพัดทางเศรษฐกิจ ระหว่างการจัดการแข่งขันเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 16,000 ล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 14,000 ล้านบาท รัฐบาลได้รายได้จากการจัดเก็บภาษีราวปีละ 1,400 ล้านบาท รวมทั้งช่วยให้เกิดการลงทุนใหม่เฉลี่ยประมาณปีละ 7,000 ล้านบาท มีการจ้างงานใหม่ปีละ 8,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ยังเกิดผลดีในเรื่องของการพัฒนาเมืองและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เป็นตัวเร่งการพัฒนาเมืองโดยเฉพาะเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และช่วยให้เกิดการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบขนส่งมวลชน ดิจิทัล การเงินซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน  สร้างโอกาสในการจ้างแรงงานหลากหลายระดับ ตั้งแต่แรงงานไร้ฝีมือไปจนถึงแรงงานที่มีทักษะสูง เช่น วิศวกรสนามแข่ง

เกิดการกระจายรายได้ไปยังประชาชนในระดับต่างๆ สู่ชุมชนท้องถิ่นเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนกระตุ้นความสนใจด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และ STEM Educationในกลุ่มเยาวชน

เนื่องจากการแข่งขันรถยนต์ F1 แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวิศวกรรม เครื่องกล และอากาศพลศาสตร์ เช่น ช่วยเผยแพร่เอกลักษณ์ของประเทศผ่านวัฒนธรรม อาหาร และศิลปะ สร้างภาพลักษณ์และความภาคภูมิใจ และประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเวทีระดับโลก ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว และแฟนกีฬาชนิดอื่นๆ เป็นต้น

ที่แปลกประหลาดที่สุดคือ ในเอกสารที่เสนอให้ ครม.พิจารณา ‘ไม่มีการประมาณตัวเลขของต้นทุน’ ที่ชัดเจน รวมทั้งรายได้ที่จะได้รับ ทำให้ต้องตั้งคำถามว่าเม็ดเงินกว่า 4.1 หมื่นล้านบาทที่ลงทุนไป

จะได้รายได้จากการจัดการแข่งขันกลับมาเท่าไร??  และจะขาดทุน-กำไร เท่าไร ??

แม้ว่าจะมองแบบ ‘โลกสวย’ คาดหวังว่าจะช่วยเป็นอีกกิจกรรมกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่ต้องใช้วงเงินที่สูงมาก โดยเฉพาะเป็นการลงทุนจากรัฐบาลทั้งหมด ทำให้มีประเด็นเรื่องความเสี่ยงทางด้านการคลังเข้ามาเกี่ยวข้อง

จนแม้แต่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ซึ่งปกติมักจะไม่ค่อยมีข้อสังเกต ยังอดรนทนไม่ไหว ต้องทำ ‘บันทึกตั้งข้อสังเกต’ แสดงความกังวลถึงภาระทางการเงินในโครงการดังกล่าว

สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กังวลว่า ในที่สุดรัฐบาลอาจจะแบกความเสี่ยงด้านการขาดทุนที่จะตกอยู่กับภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว เพราะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งในด้านเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน ค่าธรรมเนียมสิทธิในการจัดการแข่งขัน และการบริหารจัดการตลอดระยะเวลาของการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

แต่ที่มาของรายได้กลับไม่มีความชัดเจนว่าภาครัฐจะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปของ สปอนเซอร์ผู้สนับสนุนการแข่งขัน ค่าบัตรชมการแข่งขัน และค่าลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอด เป็นจำนวนเงินเท่าไร และจะทำให้ต้องแบกภาระการขาดทุนหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินการคลังของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะในบริบทที่ภาครัฐมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและภาระทางการคลังจากภารกิจจำเป็นอื่น ๆ ที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป

มีการทำการวิเคราะห์ความ ‘คุ้มค่า’ กรณีวัดผลประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดงานในรูปรายได้ จากการจัดงานปรากฏว่า ในการวิเคราะห์รายได้ค่าใช้จ่ายของโครงการกรณีฐาน กรณีที่ดีกว่าคาดการณ์ และกรณีที่แย่กว่าคาดการณ์ พบว่าทั้ง 3 กรณี

มีแนวโน้มว่าจะมีมูลค่ากำไรสุทธิติดลบหรือ ขาดทุนทั้ง 3 กรณี โดยในกรณีที่ดีที่สุดจะขาดทุน6,824 ล้านบาท กรณีฐานจะติดลบ 9,788 ล้านบาท และกรณีแย่กว่าคาดการณ์ขาดทุนสูงถึง 10,752 ล้านบาท

ถึงแม้การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ F1 เป็นเรื่องในเชิงนโยบายที่คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาได้ เนื่องจากเป็นการดำเนินการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านซอฟต์พาวเวอร์ และสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาให้เติบโตในระยะยาว แต่ก็ควรพิจารณาในเรื่องนี้อย่างรอบคอบ โดยมีข้อเสนอแนะ 5 ข้อ ประกอบด้วย

1.ประเมินผลกระทบทุกมิติ พร้อมออกแบบกลไกดึงภาคเอกชนร่วมลงทุน

2.ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ เพื่อความคุ้มค่าและยั่งยืน

3.ศึกษาข้อจำกัดด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และผลกระทบต่อชุมชน

4.เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างโปร่งใส ลดความขัดแย้ง

5.ใช้เงินรัฐอย่างเหมาะสม หากมีเงินเหลือให้คืนตามกฎหมาย

การดำเนินการควรอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและมติ ครม. อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศในระยะยาว

นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Formula Money เว็บไซต์ที่รวมรวมตัวเลขทางเศรษฐกิจของการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ระบุว่า

ค่าลิขสิทธิ์เพื่อให้ได้จัดการแข่งขัน หากจัดแข่งเพียงปีเดียวก็สูงถึง 31.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 พันล้านบาท) แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องการเซ็นสัญญาระยะยาว ค่าลิขสิทธิ์ในปีต่อ ๆ ไปยังเพิ่มสูงขึ้นในอัตราก้าวหน้า โดยการเซ็นสัญญาจัดแข่งรถสูตรหนึ่งเป็นเวลา 10 ปี จะมีค่าลิขสิทธิ์สูงถึง 396.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13,000 ล้านบาท)

ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างสนามแข่งขันตามมาตรฐาน FIA เกรด 1 ที่สามารถใช้จัดแข่งกีฬาความเร็ว 4 ล้อได้ทุกรายการ ในลักษณะปิดถนนเพื่อทำเป็น ‘สตรีท เซอร์กิต’ สนามแข่งขันชั่วคราว ต้นทุนถึงแม้อาจจะถูกกว่าการสร้างสนามถาวร แต่ก็ยังต้องมีการสร้างอาคารที่เป็นศูนย์บัญชาการของการแข่งขันที่มีทั้งห้องควบคุม ศูนย์พยาบาล ศูนย์สื่อมวลชน อาการถ่ายทอดสดรวมถึง พิทและ           แพดด็อก ซึ่งทีมแข่งจะต้องใช้เป็นสถานที่ประกอบ ซ่อมบำรุงรถ ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องมีการสร้างอัฒจันทร์ที่นั่งสำหรับผู้ชม ปรับปรุงพื้นถนนทุกๆปี รวมถึงต้องวางแนวป้องกันต่างๆ ตามมาตรฐานอันสูงลิบของ F1 ซึ่งส่วนนี้ต้องใช้งบประมาณราวปีละ 57.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,900 ล้านบาท)

เมื่อรวมค่าลิขสิทธิ์ กับงบประมาณในการปรับปรุงสนามที่ต้องทำทุกปีแล้ว หากประเทศใดต้องการจัดแข่ง F1 แบบสตรีท เซอร์กิต 10 ปี จะต้องใช้งบประมาณสูงถึง 971.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 32,000 ล้านบาท) ยังไม่นับรวมค่าบริหารจัดการและค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์กิจกรรมทั้งในและต่างประเทศ จึงทำให้มีการประมาณว่าในกรณีของไทยต้องใช้วงเงินสูงถึง 4.1 หมื่นล้านบาท ตลอดช่วยอายุสัญญา 5 ปี

ในกรณีของประเทศสิงคโปร์ ชาติเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังจัดแข่ง F1 ในตอนนี้ ซึ่งจัดแข่งแบบ สตรีท เซอร์กิต เช่นกัน ทางกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ หรือ MTI เปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายในการจัดแข่งขัน Singapore Grand Prix เมื่อปี 2022 อยู่ที่ราว 135-140 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 3.6-3.8 พันล้านบาท) โดยรัฐบาลต้องอุดหนุน 60% จากค่าใช้จ่ายทั้งหมด

เพราะเหตุนี้เองต้นทุนในการจัดการแข่งขัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ที่สูงมาก ทำให้หลายประเทศที่เคยจัดการแข่งขัน F1 ถอดใจ ไม่ต่อสัญญา แม้แต่ เยอรมันหนึ่งในชาติชั้นนำของวงการยนตรกรรม รวมถึง มาเลเซียชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้จัดแข่งรถสูตรหนึ่ง

ปัจจุบันสิงคโปร์ เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่จัดแข่งรถสูตรหนึ่งอยู่ในตอนนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการจัดการแข่งขันนับตั้งแต่จัดแข่งครั้งแรกเมื่อปี 2008 โดยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมายังสิงคโปร์ได้มากกว่า 550,000 ราย และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 53,000 ล้านบาท) นอกจากนี้ ยังมีผู้ชมผ่านการถ่ายทอดสดมากกว่า 1 พันล้านคน

ไม่เพียงเท่านั้น การจัดแข่งขัน F1 ทำให้สิงคโปร์พลิกภาพลักษณ์ กลายเป็นประเทศที่มี ‘ชีวิตชีวา’ จากกิจกรรมความบันเทิงต่าง ๆ ที่จัดกันแบบไม่ยั้งในช่วงสัปดาห์การแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนเสิร์ตจากศิลปินดังระดับโลก ที่หลายคนซื้อบัตรเข้าชมไม่ได้เพื่อมาดูแข่งรถ แต่มาดูคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สิงคโปร์นำอีเวนท์ต่าง ๆ ทั้งกีฬาและความบันเทิงมาจัดในประเทศอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้

แต่คำถามตัวโตๆก็คือ รัฐบาลไทยจะมีศักยภาพและความสามารถมากพอที่จะบริหารจัดการการแข่งขันได้ดีเทียบเท่าสิงคโปร์หรือไม่

และจะเกิดอะไรขึ้นหากในปี 2571-2575 รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยไม่ได้อยู่ถึงตอนนั้น...

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์