พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ได้โพสต์แสดงความเห็นในเพจเฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี Pirongrong Ramasoota ในเรื่องการประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีเนื้อหาดังนี้
ประเด็นจากเสียงข้างน้อย
กรณีการประมูลคลื่นความถี่แบบ multi band
วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2568 ที่จะถึงนี้ จะมีการประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะสิ้นสุดการอนุญาตในเดือนสิงหาคม ซึ่งการประมูลครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญต่อกิจการโทรคมนาคมของไทยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภาวะการแข่งขันในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เหลือผู้เล่นรายใหญ่เพียงสองรายและการที่ตลาดค่อนข้างอิ่มตัว ในขณะที่ผู้ชนะประมูลจะได้ถือครองการอนุญาตถึง 15 ปี
ก่อนที่จะถึงวันประมูล ดิฉันขอถือโอกาสที่ที่ประชุม กสทช. เพิ่งมีการรับรองรายงานการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อมาเล่าสู่กันฟังถึงความเห็นของดิฉันที่ได้เปิดเผยไว้ในรายงานการประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ 18 และวันจันทร์ที่ 21 เมษายน ในการประชุม กสทช. ครั้งที่ 11/2568 ที่ประชุมมีมติเห็นตรงกันให้จัดประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะสิ้นสุดการอนุญาตในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 คือย่าน 850 MHz 1500 MHz 2100 MHz (FDD ขนาด 2x15 MHz) และ 2300 MHz ส่วนประเด็นอื่น ๆ มีความเห็นแตกต่างกัน เกิดเป็นเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย
ดิฉันมีความเห็นต่างจากกรรมการเสียงข้างมากในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการประเมินมูลค่าคลื่น เช่น ย่าน 850 MHz และย่าน 1500 MHz เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่ที่สำนักงาน กสทช. เสนอมา เนื่องจากเห็นว่า ควรอ้างอิงจากข้อมูลและใช้วิธีการคำนวณที่รัดกุมกว่านี้ และนำข้อมูลตลอดจนบริบทของประเทศไทยมาพิจารณาด้วย
ส่วนคลื่นความถี่ย่าน 2100 MHz ดิฉันเป็นเสียงข้างน้อยเนื่องจากเห็นชอบผลการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่โดยอ้างอิงจากมูลค่าคลื่นจากประมาณการค่าใช้บริการข้ามโครงข่าย (Roaming) มูลค่า 12,669.10 ล้านบาท ในขณะที่ที่ประชุมเสียงข้างมากเห็นชอบการประเมินฯ โดยปรับใช้ตัวแปร HHI ประกอบกับเพิ่มปัจจัย ecosystem และอ้างอิงราคาขั้นต่ำการประมูลในอดีตของไทย มูลค่า 4,500 ล้านบาท
สำหรับคลื่นความถี่ย่าน 2300 MHz ที่ประชุมเสียงข้างมาก เห็นชอบผลการประเมินมูลค่าคลื่นตามการประมาณการมูลค่าคลื่นโดยกำหนดสัดส่วนของคลื่น 2100 MHz กับ 2300 MHz ด้วยสัดส่วนมูลค่าจาก Roaming เป็นมูลค่า 2,596.15 ล้านบาท ส่วนดิฉันเป็นเสียงข้างน้อย เห็นชอบผลการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่โดยประมาณการมูลค่าคลื่นจากประมาณการค่าใช้บริการ Roaming เป็นมูลค่า 7,309.10 ล้านบาท
ดิฉันขอยืนยันว่าในการพิจารณาแต่ละประเด็นนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการในการทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล ที่ต้องจัดสรรคลื่นความถี่ให้เพียงพอต่อความต้องการโดยไม่มีรอยต่อในด้านคุณภาพ การใช้บริการ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้งานได้อย่างมีคุณภาพต่อเนื่อง คุ้มค่าต่อค่าบริการ ผู้ประกอบการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นในการสร้างประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและสังคม
ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันการสมยอมราคา และให้รัฐได้ประโยชน์สูงที่สุด นอกจากนี้ยังต้องเอื้อให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่และส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคด้วย
ทั้งนี้ ขอสรุปความเห็นของดิฉันในแต่ละประเด็นแบบสั้น ๆ 8 ประเด็น ดังนี้ค่ะ
1.คลื่นความถี่ที่จะนำมาประมูล: ดิฉันเห็นด้วยในหลักการที่จะจัดสรรคลื่นความถี่ที่กำลังจะหมดอายุ และคลื่นความถี่ที่ว่างอยู่ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่เนื่องจาก (ร่าง) ประกาศฯ ในครั้งนี้ ไม่มีการออกแบบการประมูลคลื่นความถี่ที่ช่วยส่งเสริมการแข่งขันในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มากเพียงพอสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือรายเล็ก เช่น ไม่มีมาตรการการสงวนคลื่นบางส่วน (Set aside) หรือมาตรการส่งเสริม MVNO ที่เด่นชัด จึงเห็นว่า ควรให้จัดสรรเฉพาะคลื่นความถี่ที่กำลังจะสิ้นสุดการอนุญาตในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 เท่านั้น เพื่อให้สำนักงาน กสทช. มีระยะเวลาในการออกหลักเกณฑ์ใหม่สำหรับการประมูลคลื่นที่เหลืออยู่ โดยเน้นส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในตลาดเพิ่มมากขึ้น
2. วิธีการประมูลและการจัดกลุ่มคลื่นความถี่: ดิฉันเห็นควรให้ใช้วิธีการประมูลแบบเรียงลำดับทีละย่านความถี่ (Sequential) เพราะเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และผู้เข้าร่วมประมูลไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าตนเองจะชนะการประมูลคลื่นใดบ้าง จึงอาจต้องเข้าแข่งขันในการประมูลคลื่นในแต่ละย่าน เพื่อลดความเสี่ยงว่าอาจจะพลาดไม่ได้คลื่นที่มีความต้องการสูง
3. การกำหนดราคาขั้นต่ำ (Reserve Price): ดิฉันเห็นควรให้ใช้ราคาขั้นต่ำตามการประเมินมูลค่าคลื่นโดยมีมูลค่าคลื่นตั้งต้นจำนวน 12,669 ล้านบาทสำหรับคลื่น 2100 MHz และมูลค่าตั้งต้นจำนวน 7,309 ล้านบาทสำหรับคลื่น 2300 MHz โดยสำนักงาน กสทช. ได้ปรับเป็นมูลค่าปัจจุบันสำหรับ 15 ปีและปรับขนาดคลื่นให้สอดคล้องกับชุดความถี่ที่จะประมูลแล้ว
ทั้งนี้ ราคาขั้นต่ำข้างต้นเป็นการสะท้อนจากราคาตลาดจริงที่บริษัท AWN และบริษัท DTN (หรือ บริษัท TUC ในปัจจุบัน) จ่ายค่าใช้บริการข้ามโครงข่าย (Roaming) ให้กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) จนถึงเดือนสิงหาคม 2568
โดย บริษัท AWN จ่ายค่าเช่าคลื่น 2100 MHz ในราคา 3,900 ล้านบาทต่อปีต่อ 2X15 MHz และบริษัท DTN (หรือ บริษัท TUC ในปัจจุบัน) จ่ายค่าเช่าคลื่น 2300 MHz ในราคา 4,500 ล้านบาทต่อปีต่อ 60 MHz
4. การกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินประมูลคลื่นความถี่และการจัดให้มีโครงข่ายโทรคมนาคม: ดิฉันเห็นชอบเงื่อนไขการชำระเงินประมูลคลื่นความถี่สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือรายเล็ก ที่กำหนดให้แบ่งจ่ายเป็น 10 งวด (ร้อยละ 10 จำนวน 10 ปี) แต่เห็นควรให้ปรับเงื่อนไขการจัดให้มีโครงข่ายครอบคลุมเป็นเช่นเดียวกับเงื่อนไขการประมูลคลื่น 1800 MHz ที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้เป็นภาระเกินสมควร
ส่วนผู้ชนะการประมูลที่เป็นผู้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่านใดย่านหนึ่งจากสำนักงาน กสทช. อยู่ก่อนแล้ว จะต้องชำระเงินประมูลเป็น 3 งวดตาม (ร่าง) ประกาศฯ ครั้งที่ 1
5. การดำเนินการเพื่อสังคมและการคุ้มครองผู้บริโภค: ดิฉันเห็นควรให้ปรับส่วนลดอัตราค่าบริการเป็นร้อยละ 50 ของแพ็กเกจในตลาดปัจจุบันสำหรับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งตามข้อมูลในปัจจุบัน แม้จะใช้ส่วนลดนี้แล้ว ผู้ให้บริการก็ยังสามารถดำเนินการได้อยู่ นอกจากนี้ ควรมีแพ็คเกจราคาต่ำที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้บริโภคทั่วไปด้วย เพราะไม่ควรถูกบังคับให้ต้องซื้อแพ็คเกจใหญ่ทั้งๆ ที่ใช้บริการน้อย ซึ่งเงื่อนไขการประมูลในอดีตก็เคยกำหนดไว้ว่าให้มีแพ็คเกจที่คิดอัตราค่าบริการตามการใช้งานจริง
6. การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันของ MVNO: ดิฉันเห็นควรให้ผู้ชนะประมูลต้อง ‘สงวน Capacity’ อย่างน้อยร้อยละ 10 ของโครงข่ายโทรคมนาคมทั้งหมด โดยผู้ชนะประมูลห้ามใช้ capacity นั้นเอง แต่มีไว้เพื่อผลักดันให้เกิดผู้ให้บริการ MVNO ในตลาด
7. การกำหนดเงื่อนไข USO: ดิฉันเห็นควรให้ปรับแนวทางการจัดให้มีบริการ USO โดยกำหนดให้ ‘ผู้ชนะประมูลต้องจัดให้มีบริการ USO ด้วยตนเองเท่านั้น’ เพื่อให้ตรงตามความต้องการในแต่ละพื้นที่ และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
8. ประเด็นอื่น: ดิฉันเห็นว่าควรมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. ออกแบบหลักเกณฑ์การประมูลคลื่นความถี่ที่ยังไม่ได้นำมาจัดสรรในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดผู้ให้บริการรายใหม่หรือรายเล็ก โดยเน้นเรื่อง set aside และ TIMO (Thailand Independent Market Operator) ซึ่งจะเป็นหน่วยงานกลางที่ช่วยจัดการคลื่นความถี่ให้แก่ MVNO และให้สำนักงาน กสทช. วิเคราะห์สภาพตลาดทั้งก่อนและหลังการประมูลคลื่นความถี่ เพื่อประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ความเห็นข้างต้นของดิฉันจะถูกแนบไว้ท้ายมติที่ประชุมของรายงานการประชุม กสทช. ครั้งที่ 11/2568 และมีบันทึกความเห็นฉบับเต็ม ความยาวประมาณ 12 หน้าแนบไว้ในรายงานการประชุมด้วยค่ะ หากท่านใดสนใจสามารถดาวน์โหลดได้จากหน้าเว็บไซต์ สำนักงาน กสทช. ในหมวดข้อมูลเปิดเผยตามกฎหมายตามมาตรา 24 ของพรบ. กสทช. ค่ะ