ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในรายการ “เสียงจากใจไทยคู่ฟ้า” ออกอากาศวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2568 ว่า รัฐบาลเดินหน้าลดภาระค่าไฟฟ้า และเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ด้วยการออก 2 มาตรการสำคัญทางภาษี เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและประชาชนร่วมกันอนุรักษ์พลังงานและหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น
มาตรการที่ 1 สนับสนุนให้ภาคธุรกิจและประชาชนเปลี่ยนอุปกรณ์ เครื่องจักร หรือวัสดุต่าง ๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงาน พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี หักลดหย่อนได้ 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง ช่วยลดต้นทุนระยะยาว ทั้งในโรงงาน ร้านค้า และบ้านเรือน
มาตรการที่ 2 สนับสนุนให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนบ้านเรือน โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการติดตั้ง ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สูงสุดถึง 200,000 บาท ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยลดค่าไฟฟ้าระยะยาว และเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงพลังงานสะอาดในราคาที่จับต้องได้
มาตรการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยให้ประเทศไทย ลดการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 30,000 ล้านหน่วยต่อปี เทียบเท่ากับการลดการใช้ไฟของบ้านเรือนนับล้านหลัง ช่วยลดการนำเข้า LNG ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 110,000 ล้านบาทต่อปี และที่สำคัญ ยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 15 ล้านตันต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกป่าขนาดใหญ่จำนวนมหาศาล เป็นผลดีทั้งต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจโดยรวม
ทั้งนี้ รัฐบาลเตรียมผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ให้เร็วที่สุด ซึ่งจากการเปิดเผยของพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ร่างพรบ. ดังกล่าว จะถูกนำเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ เพื่อสร้างกลไกสนับสนุนให้ทุกครัวเรือนสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้สะดวกขึ้น ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งเสริมพลังงานสะอาดของไทย
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่น่าภูมิใจคือ ปัจจุบัน คนไทยสามารถพัฒนาเครื่อง Inverter ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบโซลาร์เซลล์ ขึ้นได้เองแล้วในประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมผลิตออกจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ ยิ่งช่วยลดต้นทุนการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มมีไฟฟ้าใช้เองง่ายและประหยัดยิ่งขึ้น
