ฟ้าหม่นที่การบินไทย เงาการเมืองเตรียมครอบงำ

18 มิ.ย. 2568 - 02:31

  • การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูกิจการแบบแข็งแรง

  • เตรียมทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง พร้อมอนาคตสดใส

  • สุดท้ายหนีไม่พ้นการเมืองเตรียมเข้าครอบงำอีกรอบ

ฟ้าหม่นที่การบินไทย เงาการเมืองเตรียมครอบงำ

เมื่อวันจันทร์ (16 มิถุนายน 2568) ที่ผ่านมา ในมุมมองของคนทั่วไป มันน่าจะเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่งของ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) สายการบินแห่งชาติ ที่สามารถปลดพันธนาการอันยาวนานกว่า 5 ปี

ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่ง ‘ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ’ หลังจากต้องตกอยู่ในอาการ ‘โคม่า’ หรือเข้าสู่ภาวะวิกฤตมีหนี้สินถึงขั้นใกล้ล้มละลาย จนต้องเลือกเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ มีการผ่าตัดครั้งใหญ่ จนสามารถฟื้นฟูกิจการให้กลับมาแข็งแรงได้อีกครั้งหนึ่ง

ผลจาการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ จะทำให้อำนาจหน้าที่ของผู้บริหารแผนในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของบริษัทฯ จึงสิ้นสุดลง และในบ่ายวันเดียวกัน การบินไทยมีการนัดประชุมคณะกรรมการบริษัทเป็นครั้งแรก เพื่อ ‘เลือก’ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด และยังมีวาระพิจารณา เช่นการรับโอนทรัพย์สินจากผู้บริหารแผน และจะหารือระยะเวลาการกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งมีขั้นตอนมีเงื่อนไขที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วน โดยเบื้องคาดว่าจะกลับเข้าเทรดซื้อขายในตลาดหุ้นได้อีกครั้ง ปลายเดือน กรกฎาคม – ต้นเดือนสิงหาคมนี้

ข่าวนี้น่าจะสร้างความ ‘ปลาบปลื้ม’ ดีใจให้กับทั้งพนักงานเอื้องหลวง และบรรดานักลงทุนที่ยังคงถือหุ้นการบินไทยอย่างมีความหวัง

แต่หลังจากที่ทราบมติของบอร์ดการบินไทย ในการแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัท ความ ‘กังวล’ เริ่มปรากฏขึ้น เนื่องจากความวิตกว่าการบินไทยจะกลับไปสู่สภาพขององค์กรที่ถูกอิทธิพลจากนักการเมืองเข้ามาสูบผลประโยชน์อีกครั้งหนึ่ง

ที่ประชุมของคณะกรรมการบริษัทการบินไทย มีมติอนุมัติแต่งตั้ง ‘ลวรณ แสงสนิท’ ปลัดกระทรวงการคลัง ขึ้นนั่งในตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการบริษัท และมีกรรมการอีก 10 คน ซึ่งประกอบด้วย

กรรมการ 3 คน จากกรรมการที่บริหารแผนฟื้นฟูเดิม คือ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์, ชาญศิลป์ ตรีนุชกร และพลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย

ที่เหลือเป็นกรรมการเข้าใหม่ที่เลือกจากผู้ถือหุ้นอีก 5 คนคือ

ปลัดกระทรวงการคลัง ลวรณ แสงสนิท

อธิบดีกรมสรรพสามิต กุลยา ตันติเตมิท

ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ชาครีย์ บำรุงวงศ์

อัยการพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ยรรยง เดชภิรัตนมงคล

จเรตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร

โดยมีกรรมการอิสระอีก 3 คน คือ

ณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม จากด้านการเงินการธนาคาร

สัมฤทธิ์ สำเนียง อดีตผู้บริหารจากบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม PTTEP

ชาย เอี่ยมศิริ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารการบินไทย 

ในส่วนของกรรมการบริษัทชุดเดิม 3 ที่เคยเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ซึ่งหมดหน้าที่ลง คือ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์, ชาญศิลป์ ตรีนุชกร และพลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย เป็นบอร์ดชุดเก่า ยังจะดำรงตำแหน่งบอร์ดตามเดิมไปอีก 1 ปี โดยจะสิ้นสุดวาระใน เดือนเมษายน 2569 ซึ่งจะเป็นช่วงกำหนดประชุมผู้ถือหุ้นการบินไทย

ที่น่าสังเกตคือในการประชุมบอร์ดครั้งนี้ ไม่ได้มีการแต่งตั้งบอร์ดบริหาร เหมือนโครงสร้างองค์กรในอดีต ซึ่งแต่เดิมคาดว่า กรรมการชุดเก่าและ อดีตประธานบอร์ด น่าจะกลับมานั่งในบอร์ดชุดเล็กดังกล่าวเพื่อช่วยในการบริหารการบินไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีเพียงแต่งตั้งกรรมการย่อย 2 คณะ คือ

กรรมการตรวจสอบ  ยรรยง เดชภิรัตนมงคล เป็นประธาน

กรรมการสรรหาและค่าตอบแทน  มี กุลยา ตันติเตมิท เป็นประธาน

เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ต้องยอมรับว่าคงไม่มีใครคิดว่า การบินไทยที่ตกอยู่ในสภาพใกล้‘ล้มละลาย’ เพราะขาดทุนสะสมและมีหนี้สินจนเกินทุน และยังโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากสถานการณ์โควิด-19

กลายเป็น ‘นกฟินิกซ์’ ที่ฟื้นคืนชีพจากกองเถ้าถ่านขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากรัฐบาลของอดีตนายกฯ ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจที่จะอุ้มการบินไทย โดยออกมติ ครม.เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ให้การบินไทยเดินเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ

ตอนที่ประกาศเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ แทบไม่มีใครเชื่อว่าการบินไทยจะ ‘รอด’ เพราะตอนนั้น มีหนี้สินสูงถึง 3.5 แสนล้านบาท ขาดทุนสะสม 28,000  ล้านบาท เหลือเงินสดในมือแค่ 10,000 กว่าล้านบาท  แต่มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 4-5 พันล้านบาท มองไปข้างหน้ามีแต่ความมืดมน เพราะสถานการณ์โควิด-19  ทุกประเทศทั่วโลกปิดประเทศ สายการบินทุกสายต้องหยุดบิน  การบินไทยไม่มีรายได้เข้ามาเลย และไม่รู้ว่าเมื่อไรโควิดจะสงบ การเดินทางกลับมาเป็นปกติ

ทีมผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ทั้ง ปิยสวัสดิ์ ที่กลับมากอบกู้การบินไทยครั้งที่ 2  ในฐานะประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ มีผู้บริหารแผนอีก 2  คือ ‘พรชัย ฐีระเวช’  จากกระทรวงการคลัง และ ‘ชาญศิลป์ ตรีนุชกร’ อดีตซีอีโอ ปตท. และ ‘ชาย  เอี่ยมศิริ’  อดีตลูกหม้อการบินไทย ที่ถูกดึงมานั่งเป็นซีอีโอ ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนสามารถฟื้นฟูกิจการตามแผน ได้สำเร็จ

นอกจากฝีมือของทีมผู้บริหารแผนซีอีโอ ต้องยอมรับว่า ผู้บริหารและพนักงานการบินไทยก็มีส่วนร่วมที่ยอมรับความเจ็บปวด ‘ร่วมมือ’ กันกอบกู้บริษัท

หลายคนเชื่อว่าปัจจัยสำคัญ ที่อาจจะเป็น ‘ภูมิคุ้มกัน’ ที่สำคัญคือ การอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูฯ ที่ทำให้การบินไทยปลอดจากการแทรกแซงของนักการเมือง ข้าราชการประจำ และบรรดาผู้มีอิทธิพลที่เคยแสวงหาผลประโยชน์ในการบินไทย ตั้งแต่การฝากเด็ก แต่งตั้งคนของตัวเองเป็นบอร์ด หรือผู้บริหาร การจัดซื้อจัดจ้าง การใช้ทรัพย์สินของบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตัว  เพราะการบริหารงานทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามแผนฟื้นฟูฯ ที่มีศาลล้มละลายกำกับอยู่

แต่มาถึงวันนี้ หากมองไปที่โครงสร้างของคณะกรรมการบริษัทแล้ว หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่า การบินไทยอาจจะกลับไปสู่วังวนของ วงจรอุบาทว์ แบบเดิม ๆ หลังจากที่ภาครัฐคือ กระทรวงการคลัง กลับมากลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถือหุ้นหนึ่งในสัดส่วนราว 38 % และเมื่อรวมกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ เช่น กองทุนวายุภักษ์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน บริษัททิพยประกันภัย  จะมีสัดส่วนถือหุ้นสูงถึง 49%

ทำให้มีโอกาสที่การบินไทยจะถูกการเมืองแทรกแซงจนย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์