ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยอมรับว่ามีปัญหา ‘คอขวด’ ในการยืนยันตัวตน และขอให้ประชาชนไม่ต้องรีบร้อนเนื่องจากโครงการไม่จำกัดระยะเวลาการลงทะเบียน อย่างไรก็ตาม เสียงวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียยังคงดังขึ้นจากผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบได้นานกว่า 30 นาที
โครงสร้างสิทธิประโยชน์ที่เปลี่ยนไป
โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 มีงบประมาณ 1,760 ล้านบาท เปิดให้ใช้สิทธิ์ระหว่างวันที่ 4 กรกฎาคม ถึง 31 ตุลาคม 2568 โดยแบ่งสิทธิประโยชน์เป็นสองส่วนหลัก คือ ส่วนลดค่าที่พักและคูปองดิจิทัล
สำหรับส่วนลดค่าที่พัก รัฐบาลกำหนดสัดส่วนการสนับสนุนแตกต่างกันตามประเภทเมืองและวันเดินทาง เมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต วันธรรมดารัฐสนับสนุน 50% แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน ส่วนวันหยุดลดเหลือ 40% ในขณะที่เมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยวได้รับการสนับสนุน 50% ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด
ประชาชนแต่ละคนจะได้รับสิทธิ์สูงสุดเพียง 5 คืน แบ่งเป็นเมืองหลัก 3 คืนและเมืองน่าเที่ยว 2 คืน นอกจากนี้ยังได้รับคูปองดิจิทัลมูลค่า 500 บาทต่อห้องต่อคืนเมื่อเช็กอินสำเร็จ ใช้เป็นส่วนลด 50% สำหรับค่าอาหาร กิจกรรมท่องเที่ยว และสินค้าโอทอป
เงื่อนไขที่เข้มงวดกว่าเดิม
โครงการปีนี้กำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดมากขึ้น ผู้ใช้ต้องจองที่พักล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และไม่สามารถยกเลิกการจองได้ แม้จะสามารถเลื่อนวันเข้าพักได้ตามเงื่อนไขโครงการ ผู้มีสิทธิ์ลงทะเบียนต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป และยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ThaID เท่านั้น
คูปองดิจิทัลมีอายุการใช้จำกัดจนถึงเวลา 23.00 น. ของวันเช็กเอาต์ ซึ่งอาจสร้างข้อจำกัดให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้จ่าย
ท่องเที่ยว 2 รัฐบาลใครน่าสนใจกว่ากัน
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ ในยุคพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดำเนินการระหว่างปี 2563-2565 พบความแตกต่างสำคัญที่น่าสนใจ
โครงการเดิมให้สิทธิ์ห้องพักสูงสุดถึง 15 คืนต่อคน มากกว่าโครงการปัจจุบันถึง 3 เท่า คูปองอาหารมีมูลค่า 600 บาทต่อคืน เทียบกับ 500 บาทในปัจจุบัน ที่สำคัญคือมีการสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 40% แต่ไม่เกิน 2,000-3,000 บาทต่อผู้โดยสาร ซึ่งไม่มีในโครงการปีนี้
ด้านการลงทะเบียน โครงการเดิมใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง” และ G-Wallet แม้จะมีปัญหาบ้างแต่ไม่เกิดวิกฤตระบบล่มครั้งใหญ่เหมือนโครงการ 2568 เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ก็ยืดหยุ่นกว่า โดยอนุญาตให้เลื่อนวันเข้าพักได้ง่ายกว่า
โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ใช้งบประมาณ 1,760 ล้านบาท คาดหวังสร้างรายได้หมุนเวียน 35,033 ล้านบาท ขณะที่โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ที่มีงบประมาณใกล้เคียงกันสามารถสร้างมูลค่าการใช้จ่ายสะสมสูงถึง 172,820 ล้านบาท
ในแง่การกระจายรายได้ โครงการปัจจุบันอาจมีข้อได้เปรียบในการแบ่งสัดส่วนการสนับสนุนตามประเภทเมือง ที่อาจช่วยกระจายรายได้สู่ภูมิภาคได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม จำนวนสิทธิ์ที่น้อยลงอาจส่งผลต่อปริมาณนักท่องเที่ยวโดยรวม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สรวงศ์ เทียนทอง เปิดเผยว่าหากสิทธิ์ 500,000 สิทธิ์หมดเร็ว นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาเพิ่มสิทธิ์ให้อีก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว
บทเรียนจากวิกฤตระบบและทางไปข้างหน้า
วิกฤตระบบล่มในวันแรกสะท้อนปัญหาการประเมินความต้องการที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง แม้จะอ้างว่าได้เตรียมความพร้อมแล้ว แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สามารถรองรับการใช้งานจริงได้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือการที่ประชาชนจำนวนมากไม่มีการลงทะเบียนล่วงหน้าในระบบ ThaID
แม้จะมีปัญหาในช่วงเริ่มต้น แต่การที่ประชาชนแห่ลงทะเบียนจำนวนมากก็สะท้อนความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยที่ยังคงสูง ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาพรวม
เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากแค่นี้ ทำไมการวางแผนรองรับผู้ใช้งานจึงยังคงเป็นปัญหา? และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้างเพื่อให้การดำเนินงานราบรื่นและให้ประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนอย่างแท้จริง?