ชื่อของมงคลเป็นที่รู้จักในวงการลงทุนหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2555 เมื่อเขาตัดสินใจซื้อและสะสมหุ้น KTC ที่ราคาเฉลี่ยเพียง 3 บาท ด้วยความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจและแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิต การถือครองยาวนานกว่า 10 ปีนี้สร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ
เมื่อในปี 2564 เขาขายหุ้น KTC จำนวน 125.5 ล้านหุ้น ในราคา 8,000 ล้านบาท สร้างกำไรสะสมรวมกว่า 20,000 ล้านบาท
ความสำเร็จจาก KTC ทำให้มงคลกลายเป็นไอดอลของนักลงทุนรายย่อย หลายคนถือเขาเป็นแบบอย่างของนักลงทุน Value Investor ที่แท้จริง ด้วยหลักการไม่ใช้มาร์จิ้น ไม่เก็งกำไรระยะสั้น และยึดมั่นในการวิเคราะห์พื้นฐาน
การตัดสินใจที่เปลี่ยนทุกอย่าง
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2564 เมื่อมงคลตัดสินใจขายหุ้น KTC จำนวน 110 ล้านหุ้น มูลค่า 8,220 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปร่วมลงทุนใน XSpring Capital (XPG) กับกลุ่มแสนสิริ การเข้าร่วมเพิ่มทุนใน XPG มูลค่า 1,488.47 ล้านบาท นับเป็นการเบี่ยงเบนครั้งใหญ่จากกลยุทธ์เดิม
สิ่งที่น่าสนใจและขัดแย้งกับภาพลักษณ์เดิมคือ การที่มงคลนำหุ้นไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อขอวงเงิน Margin Loan การกระทำนี้ทำลายภาพของนักลงทุน VI และกลายเป็นต้นเหตุของวิกฤตที่ตามมา
พอร์ตการลงทุนของมงคลในช่วงนี้มีลักษณะกระจุกตัวสูง โดย 95.45% ลงทุนอยู่ในกลุ่มการเงินและหลักทรัพย์ KTC เพียงตัวเดียวกินสัดส่วนถึง 91.6% ของมูลค่าพอร์ต นอกจากนี้ยังมี XPG (859.04 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.17%), TPS (63.30 ล้านหุ้น คิดเป็น 15.08%) และ BEC (4.58%)
วิกฤต 3 วันที่สั่นสะเทือนตลาด
ก่อนตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการซื้อ-ขายในวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดจากสงครามอิหร่าน-อิสราเอล จากเดิมที่ให้ราคาบวกลบสูงสุด 30% ให้กลายเป็น 15% และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายเบาบางลง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กลับมาประกาศใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor ตามเดิมที่ 30% ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน
ในช่วงที่บังคับใช้ประกาศ 4 หุ้น ที่มงคลถืออยู่ ดิ่งฟลอร์ลงมาพร้อม ๆ กันคือบริษัทบัตรกรุงไทยจำกัด (มหาชน) หรือ KTC บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC และบริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TPS
การลงทุนที่ดูมั่นคงกว่า 10 ปีพังทลายลงในเวลาสั้น ๆ เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่หุ้น XPG ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ราคาร่วง 31% จาก 0.74 บาท เหลือ 0.51 บาท การร่วงลงนี้ทำให้มูลค่าหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นไม่เพียงพอ
บริษัทหลักทรัพย์จึงเริ่มกระบวนการ Force Sell โดยบังคับขายหุ้นอื่นในพอร์ต ได้แก่ KTC, BEC และ TPS เพื่อลดความเสี่ยง การขายปริมาณมากในเวลาสั้นกดดันให้ราคาหุ้นเหล่านี้ร่วงติดฟลอร์ต่อเนื่อง
KTC หุ้นหลักของพอร์ตร่วงลง 28% จาก 34.50 บาทเหลือ 22.90 บาท มาร์เก็ตแคปสูญหายไป 24,494 ล้านบาท
BEC ร่วง 27.87% จาก 3.66 บาทเหลือ 2.64 บาท ผลกระทบรวมทำให้มูลค่าพอร์ตของมงคลลดลงกว่า 1.87 หมื่นล้านบาทภายใน 3 วัน
ผลกระทบรายย่อย
วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะมงคลเพียงคนเดียว นักลงทุนรายย่อยกว่า 14,000 รายที่ถือหุ้น XPG ขาดทุนอย่างหนัก หลายคนที่เชื่อมั่นและติดตามการลงทุนของ ‘เซียน VI’ รู้สึกผิดหวัง
ตลาดหุ้นโดยรวมก็ได้รับผลกระทบ มูลค่าตลาดรวมของ 3 หุ้นหลักหายไปมากกว่า 28,674 ล้านบาท ออร์เดอร์รอขายยังค้างอยู่กว่า 43.16 ล้านหุ้น สร้างแรงกดดันต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักชี้ว่าการร่วงลงครั้งนี้เป็นผลจากกลไก Force Sell โดยตรง ไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐาน บริษัท เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล แนะนำให้นักลงทุน ‘Wait and See’ รอให้สถานการณ์คลี่คลายก่อนตัดสินใจ
KTC ยังคงมีผลประกอบการกำไรไตรมาสแรก 2568 อยู่ที่ 1,630 ล้านบาท ราคาหุ้นที่ถูกลงจากมูลค่าจริงอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวหลังจากสถานการณ์สงบแล้ว
บทเรียนที่ตลาดทุนต้องจดจำ
เหตุการณ์ครั้งนี้ ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของพอร์ต แม้จะเป็นหุ้นคุณภาพก็สามารถสร้างความเสี่ยงได้เมื่อตลาดผันผวน นักลงทุนมืออาชีพยังต้องเผชิญความเสี่ยง Margin Call ที่สำคัญคือในภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนจะยึดแนวทางไหนปลอดภัยที่สุด และคำเตือน การลงทุนมีความเสี่ยง ยังใช้ได้อยู่เสมอ