เมอร์เคิล แคปปิตอล จัดสัมมนาพิเศษ “FED คงดอกเบี้ยตลอดครึ่งปีแรก เมื่อไหร่ถึงคิวเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อ?” แนะจับตาไตรมาส 3 สินทรัพย์ดิจิทัลรอฟื้นตัวจากสัญญาณลดดอกเบี้ย การยอมรับของสถาบัน การออกกฎหมาย Stablecoin และการยกเว้นภาษีในไทย หนุนตลาดคริปโทฯ เสริมศักยภาพการเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล
วรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ดำเนินธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. เปิดเผยว่า เมอร์เคิล แคปปิตอล จัดสัมมนาพิเศษในหัวข้อ FED คงดอกเบี้ยตลอดครึ่งปีแรก เมื่อไหร่ถึงคิวเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อ?
ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังคงรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม โดยไม่มีสัญญาณเร่งรีบในการปรับลด ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดในภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสะท้อนถึงความระมัดระวังของ FED ในการจัดสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการประคองเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
แนวโน้มการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มสินทรัพย์ดิจิทัล ควรประเมินสภาวะเศรษฐกิจมหภาคว่าอยู่ในช่วง “Risk On” หรือ “Risk Off” เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อความต้องการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งนี้ สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน แม้จะยังดำเนินอยู่ แต่ยังไม่มีแนวโน้มบานปลายเข้าสู่ระดับนานาชาติ หากไม่มีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งน้ำมันโลก ความกังวลของนักลงทุนอาจลดลงได้ในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์ปิดช่องทางขนส่งนี้ขึ้น ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูง ส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งตัว และ FED ต้องชะลอการลดดอกเบี้ยออกไปอีก
ขณะเดียวกัน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลาย โดยมีการพักการขึ้นภาษี 90 วัน และมีแนวโน้มว่าจะขยายการเจรจาเพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโลกและบรรยากาศการลงทุนโดยรวม รวมถึงลดความผันผวนของตลาดคริปโทฯ ด้วย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่จะครบกำหนดช่วงเวลาการพักเจรจาดังกล่าว
ด้านข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชี้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดต่ำกว่าคาด ขณะเดียวกันตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มอ่อนแรง ทำให้ตลาดคาดว่า FED อาจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนและธันวาคม อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ Dot Plot ล่าสุดของ FED ระบุว่า อัตราการว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น เงินเฟ้อยังไม่ลดลงชัดเจน และอัตราดอกเบี้ยจะถูกลดลงเพียงเล็กน้อยตลอดจนถึงปี 2027 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า FED มองว่าอาวุธทางการเงินที่เหลืออยู่มีจำกัด และอาจต้องพึ่งพานโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบ QE ในอนาคต หากเศรษฐกิจชะลอลงอย่างรุนแรง
ในฝั่งของสินทรัพย์ดิจิทัล บรรยากาศเริ่มเอื้ออำนวยต่อการเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะการที่สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง JP Morgan มีแผนออก Stablecoin ของตัวเอง และการผ่านกฎหมาย GENESIS Act ในสหรัฐฯ ที่ให้การยอมรับ Stablecoin อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นการปูทางให้สินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่กระแสหลักของโลกการเงินอย่างเป็นทางการ ทั้งยังส่งผลให้ Stablecoin Supply ทำสถิติสูงสุดใหม่ สะท้อนความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้นในตลาดจริง
ยิ่งไปกว่านั้น การเข้ามาของผู้เล่นรายใหญ่ เช่น BlackRock และ MicroStrategy ที่ทยอยสะสม Bitcoin และผลักดัน ETF ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง แม้ยังอยู่ในช่วงรอการลดดอกเบี้ยก็ตาม นอกจากนี้ ปริมาณเงินทั่วโลก (Global Money Supply) ที่ทำ All-Time High ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้สินทรัพย์เสี่ยง เช่น Bitcoin มีโอกาสทำ All-Time High อีกครั้งในอนาคตอันใกล้
สำหรับประเทศไทย วรเมธระบุว่า การยกเว้นภาษีกำไรจากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นหนึ่งในนโยบายที่ช่วยยกระดับประเทศไทยให้มีโอกาสกลายเป็น Digital Asset Hub ได้อย่างแท้จริง อีกทั้งยังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ และส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก ยิ่งหากสามารถปรับกฎหมายเพิ่มเติมให้รองรับการทำ Hedging และ Derivatives ได้ จะยิ่งเพิ่มศักยภาพการเติบโตของตลาดอย่างมหาศาล โดยเฉพาะหากรัฐบาลมีแนวนโยบายต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่
ในช่วงครึ่งปีหลัง นักลงทุนควรจับตาความเคลื่อนไหวหลัก ได้แก่ ทิศทางของสงครามการค้า ความชัดเจนของนโยบายการเงินจาก FED และความคืบหน้าทางกฎหมายในประเทศ หากสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลงตามคาด โดยเฉพาะหาก FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ตลาดคริปโทฯ จะมีโอกาสเข้าสู่ภาวะขาขึ้นอย่างเป็นทางการอีกครั้ง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ Altcoin Season หาก Bitcoin Dominance ลดลงจากระดับปัจจุบันที่ราว64% เหลือ 40% ตามวัฏจักรเดิม
แม้จะยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด ทว่าเม็ดเงินจากสถาบันที่ทยอยเข้ามาและการยอมรับอย่างเป็นทางการจากภาครัฐทั่วโลก ทำให้แนวโน้มในระยะยาวของสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ Bitcoin ที่เริ่มถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินสำรองขององค์กร และมีโอกาสในอนาคตที่จะกลายเป็นสินทรัพย์สำรองระดับประเทศ หากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เดินหน้านโยบายนี้ก่อน
สำหรับนักลงทุนไทย การที่รัฐบาลประกาศยกเว้น Capital Gain Tax และมีแนวโน้มออก G-Token ที่มีพันธบัตรรัฐบาลเป็นสินทรัพย์หนุน ถือเป็นสัญญาณบวกที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่เพียงช่วยกระตุ้นตลาด แต่ยังเพิ่มความมั่นใจของนักลงทุนได้ในระดับนโยบาย
ท้ายที่สุด นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งมีความผันผวนสูง ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ลงทุนอย่างมีสติ และประเมินความเสี่ยงที่เหมาะสมกับสถานะการเงินส่วนบุคคล หากสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นการเติบโตครั้งใหม่ของโลกการเงินยุคดิจิทัล