เตรียมประเดิมเปิดสนามแล้วในสัปดาห์นี้สำหรับศึก FIFA Club World Cup 2025 หรือฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกที่ประเทศสหรัฐอเมริการับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ โดยจะเริ่มนัดแรกในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เวลาเจ็ดโมงเช้า เป็นการพบกันระหว่าง อัล อาห์ลี ไคโร จากอียิปต์ กับ อินเตอร์ ไมอามี่ จากสหรัฐฯ
สำหรับทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์สโมสรโลกหนนี้มีการปรับฟอร์แมตเป็นรูปแบบใหม่ จากปกติที่จะลงเล่นกันทุกปี มีทีมร่วมแข่งขันแค่ 7 ทีม ใช้เวลาแข่งแค่ไม่กี่วัน เปลี่ยนเป็นฟาดแข้งกันยาวๆ หนึ่งเดือนเต็มโดยเพิ่มทีมเป็น 32 ทีม และหลังจากนี้จะแข่งขันกันทุกๆ 4 ปีเหมือนกับฟุตบอลโลกในระดับทีมชาติ ในขณะที่ทัวร์นาเมนต์รูปแบบเดิมก็ยังคงมีอยู่ จัดทุกปีเหมือนเดิม เปลี่ยนแค่ลดทีมจาก 7 ทีมเหลือ 6 ทีม ไม่มีทีมเจ้าภาพอีกแล้ว เหลือเพียงแค่แชมป์ทวีปทั้ง 6 ทวีปเท่านั้นและเปลี่ยนชื่อเป็น FIFA Intercontinental Cup
แน่นอนว่าการเปลี่ยนเป็นทัวร์นาเมนต์ในรูปแบบที่จัดเต็มขนาดนี้ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเป็นปกติ จะมีอะไรบ้างวันนี้เราจะมาสรุปให้ทุกคนได้อ่านกัน
การเพิ่มโปรแกรมการแข่งขัน
ประเด็นแรกคือ ‘ผลกระทบของการเพิ่มโปรแกรมการแข่งขัน’ ถูกต่อต้านจาก FIFPRO ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานระดับโลกของผู้เล่นอาชีพ และ World Leagues Forum ที่เป็นตัวแทนลีกอาชีพ นอกจากนี้ยังมี ลาลีกา ที่ถึงขั้นจะพิจารณาดำเนินคดีเรื่องนี้ รวมไปถึงสโมสรและสมาคมฟุตบอลหลายแห่งที่คัดค้านการเพิ่มโปรแกรมแบบนี้เพราะปฏิทินการแข่งขันฤดูกาลปกติที่เพิ่งจบกันไปก็แน่นพออยู่แล้ว โดยทั้งหมดกล่าวหาว่าฟีฟ่าให้ความสำคัญกับเรื่องเงินมากกว่าสุขภาพของนักเตะ แต่การเรียกร้องทั้งหมดก็ไม่เป็นผลเนื่องจากฟีฟ่าระบุว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยข้อเท็จจริง พวกเขาคิดทุกอย่างมาดีแล้วและมันก็แฟร์สำหรับตัวนักเตะ
การเลือก อินเตอร์ ไมอามี่ เข้าแข่งขัน
ทำไมการเลือก อินเตอร์ ไมอามี่ เข้าร่วมแข่งขันถึงเป็นปัญหา? เนื่องจากโดยปกติทั่วไปการแข่งขันฟุตบอลสโมสรโลกก่อนหน้านี้จะเว้นที่ไว้ให้ชาติเจ้าภาพหนึ่งทีมซึ่งก็จะเป็นแชมป์ลีกของประเทศนั้นๆ โดยปีนี้เจ้าภาพเป็นสหรัฐฯ และการตัดสินแชมป์ของเมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ ตามปกติแล้วจะเป็นการแข่งเพลย์ออฟหลังจบฤดูกาลปกติ (ผู้ชนะ MLS Cup 2024 คือ แอลเอ กาแล็กซี่) แต่ฟีฟ่าตัดสินใจให้สล็อตนี้กับ อินเตอร์ ไมอามี่ ในฐานะผู้ชนะ MLS Supporters’ Shield ซึ่งเป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในฤดูกาลปกติ แน่นอนว่าโดนวิจารณ์กันไปตามระเบียบจากทั้งแฟนๆ และสื่อนักวิจารณ์ว่าเป็นการเลือกที่ขาดความโปร่งใส ไม่ยึดถือตามคุณสมบัติผลการแข่งขันแบบดั้งเดิม และดูพยายามดึงดูดสปอนเซอร์ที่จะเข้ามาให้แน่ใจว่านักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ จะได้ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์นี้
ราคาบัตรเข้าชม
ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องของ ‘ราคาตั๋ว’ โดยในช่วงแรกบัตรของทัวร์นาเมนต์นี้นับว่าแพงมากๆ เมื่อนำไปเทียบกับทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างฟุตบอลโลก หรือ ยูโร ตั๋วบางใบมีราคาสูงถึง 2,200 เหรียญสหรัฐสำหรับนัดชิงชนะเลิศซึ่งเกิดจากการกำหนดราคาแบบ Dynamic Pricing หรือกลยุทธ์การตั้งราคาที่ปรับเปลี่ยนราคาแบบเรียลไทม์ และสุดท้ายเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 มีรายงานออกมาว่าฟีฟ่าทำการลดราคาตั๋วเนื่องจากมีคนซื้อน้อย โดยราคาตั๋วที่ถูกที่สุดสำหรับนัดชิงชนะเลิศลดลงเหลือแค่ประมาณ 300 เหรียญสหรัฐ แต่แม้ว่าราคาจะลดลงทางฟีฟ่าก็ยังสอดแทรกเก็บค่าธรรมเนียมการยกเลิก 10% สำหรับคนที่จะเปลี่ยนตั๋ว เรียกว่าเก็บครบทุกเม็ดจริงๆ
จากประเด็นที่เราเขียนมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าปัญหาหลักๆ ที่ทางฟีฟ่าถูกวิจารณ์ก็คือเรื่องของ ‘เงิน’ ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตและเห็นภาพเดียวกันว่านี่คืออีกหนึ่งทัวร์นาเมนต์ที่จัดขึ้นเพียงเพราะฟีฟ่าอยากหาเงินเข้าองค์กรแบบไม่ได้มีการคำนึงถึงเหตุผลอื่นๆ เลย โดยเฉพาะเรื่องโปรแกรมการแข่งขันที่จะส่งผลกระทบแบบตรงๆ ต่อตัวนักฟุตบอลที่แทบจะไม่มีเวลาได้พักอะไรเลย เพราะบางคนจบฤดูกาลปกติแล้วก็ยังต้องไปเล่นทีมชาติจากนั้นก็มาแข่งทัวร์นาเมนนต์นี้ต่อ ยิ่งถ้าเข้าไปถึงรอบชิงฯ พวกเขาจะมีเวลาพักก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่แค่นิดเดียวเท่านั้น
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็ วิตินญ่า กองกลางของปารีส แซงต์-แชร์กแมงที่ฤดูกาลนี้ลงเล่นไปแล้ว 52 นัดในทุกรายการ บวกกับสองนัดกับทีมชาติโปรตุเกสที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ และถ้ารายการนี้เปแอสเชไปถึงรอบชิงฯ เขาจะต้องเล่นอีกอย่างน้อย 7 นัด หากได้ลงสนามทุกนัดลองนึกภาพตามกันดูเลยครับว่าถ้าเป็นเรามันจะเหนื่อยขนาดไหน แค่คิดก็ปวดขาแล้ว
