‘ทูตประศาสน์’ ลั่นไม่เคยรับรอง แผนที่ 1:200000 แฉคืน ‘กัมพูชา’ ถูกสั่งห้ามคุยปม 4 พื้นที่พิพาทในวง ‘เจบีซี’ เสียดายไม่มีใน ‘บันทึกการประชุม’ เพราะหารือในวงเล็ก
ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทย แถลงชี้แจงผลการประชุม JBC ว่า ตนเข้าร่วมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้ว จากระดับเจ้าหน้าที่ และครั้งนี้ไปประชุมในฐานะประธาน ถือว่าราบรื่นที่สุดเท่าที่เคยประชุมมา แต่ก่อนทะเลาะกันแรงกว่านี้เยอะ และครั้งนี้ ประสบความสำเร็จทางด้านเทคนิค พร้อมอธิบายภารกิจของ คณะกรรมการ JBC ว่า ประกอบไปด้วย 2 ส่วน
ส่วนแรกเป็นการตรวจหาหลักเขตที่ปักปันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ปี 2462-2463 ซึ่งมีการปักหลักเขตไปแล้ว 73 หลัก ตอนนี้เห็นชอบไปแล้ว 45 หลัก อีก 29 หลัก ยังเห็นต่างกัน
ส่วนที่สอง คือ การบินหาหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งเขาเสนอว่าต้องหาหลักเขตที่ปักไว้ ในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่เราบอกว่า “ไม่พอ” จุดประสงค์ของเราไม่ต้องการให้ทำเหมือนกับมาเลเซีย แต่ต้องการให้เห็นเขตแดนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จะได้เป็นประโยชน์ต่อหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ จึงได้มีการถ่ายภาพทางอากาศ
.jpg&w=3840&q=75)
จากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็มานั่งคุยกันว่า จะเดินสำรวจในแนวทางไหน เมื่อเห็นพ้องตรงกันก็ปักหลักเขตให้ถี่ขึ้น และทำแผนที่ฉบับใหม่
ประศาสน์ กล่าวว่า ในการประชุมเมื่อวานนี้ (15มิ.ย.) เราได้เห็นชอบบันทึกการประชุมอนุกรรมธิการ ในชั้นเทคนิคเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้คุยกันใช้เวลาไม่นาน แค่ 2 นาทีก็เสร็จแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการตกลงกันว่าจะใช้ เครื่องบินบินถ่ายภาพทางอากาศ โดยใช้เทคนิคการติดกล้อง เรียกว่า LiDar และยิงเลเซอร์ลงมา เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความแม่นยำกว่าเดิม และได้มีการคุยในรายละเอียดว่า จะใช้ขนาดโดรนเท่าไหร่ บินสูงแค่ไหน ใช้ความถี่เท่าไหร่ และมีการคุยกันว่าใครจะเป็นคนออกค่าใช้จ่าย
“คงคุยต่อกันไปว่าใครเป็นคนทำใครเป็นคนจ่าย ซึ่งต้องจ่ายคนละครึ่งแน่ๆ เราทำกับลาวกับเมียนมา ก็เคยทำร่วมกัน ไม่มีปัญหาอะไร แต่ทางกัมพูชาค่อนข้างเซนต์ซิทีฟหน่อย ว่าใครจะเป็นคนบิน” ประศาสน์ กล่าว
ประศาสน์ ย้ำว่า ขั้นตอนการประชุมเป็นไปด้วยความรวดเร็วมาก ซึ่งทางกัมพูชาได้สอบถามว่า ทำไมไม่ส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจหลักเขต ตนก็ได้ชี้แจงว่า เห็นด้วยในหลักการที่จะส่งเจ้าหน้าที่ลงไป แต่ติดอยู่สองเรื่องคือ ยังไม่ได้ทำคู่มือให้เจ้าหน้าที่ และตาม TOR จะต้องมีเทคนิค LiDar ให้พร้อมก่อน จะให้ไปเดินไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไปเดินดุ่มๆ แถวชายแดน เราก็ห่วงเจ้าหน้าที่ของเรา เพราะมีกับระเบิด ถึงจะเก็บไปเยอะแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม กัมพูชาก็ได้ทักท้วงว่า ทำไมไม่ส่งเจ้าหน้าที่ ลงสำรวจพื้นที่ ตอนที่ 6 ช่วงปราสาทเขาพระวิหารจนถึงภาคตะวันออก ซึ่งประเด็นนี้ก็เถียงกันไปเถียงกันมา โดยตนก็ได้ชี้แจงไปว่าต้องทำภาพถ่ายทางอากาศก่อน ตอนนั้นในปี 2551เป็นพื้นที่ที่มีการยิงกัน ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน
ประศาสน์ อธิบายเพิ่มถึงการประชุมที่มีเนื้อหาละเอียดอ่อน โดยจะเป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ซึ่งข่าววาระการประชุมที่มีหลุดออกมา คือวาระก่อนการประชุมกลุ่มเล็กของทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมย้ำว่าการทำงานของคณะ JBC คือการทำให้เห็นเขตแดนอย่างชัดเจน โดยยกตัวอย่างของประเทศมาเลเซียที่ใช้เวลานานกว่า 12 ปี กับเขตแดน 556 กิโลเมตร โดยที่ไม่มีปัญหาของการเมืองเข้ามาแทรกแซง แต่กับไทยยังเรียกได้ว่ายังไม่ถึงขั้นตั้งไข่ ไม่รู้ว่าจะสำเร็จได้เมื่อไหร่ อาจจะนาน 15-20 ปีในด้านเทคนิค ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
เมื่อถามว่าทำแมปปิ้ง มีการตกลงกันหรือไม่ไม่ว่าจะยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือ 1 ต่อ 50,000 ประศาสน์ กล่าวว่า ขอยืนยันให้ชัดเจนเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่เป็นข่าวว่าตนไปตกลง และพูดในที่ประชุม ยืนยันว่าไม่มีพูดเลย แต่จัดทำเขตแดนที่พูดถึงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือ 1 ต่อ 50,000 ที่ต่างฝ่ายต่างทำกันเองเลย แต่เป็นแผนที่จากภาพทางอากาศที่ทำในอัตรา 1 ต่อ 50,000 ซึ่งสองฝ่ายจะต้องทำร่วมกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ในส่วนของแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ที่ไทยใช้ เป็นแผนที่ทางยุทธการ ซึ่งมีความเร็วในระดับหนึ่งแล้ว
เมื่อถามว่า หลังจากกัมพูชาได้มีการแถลงการณ์ออกมาแล้ว ทางไทยได้มีการติดต่อไปเจรจาเพื่อทำความเข้าใจหรือไม่ ประศาสน์ กล่าวว่า ตนทำเฉพาะเรื่องทางเทคนิคเท่านั้น ส่วนเรื่องการแถลงคลาดเคลื่อน เป็นหน้าที่ของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะแถลงชี้แจง
ซึ่งเมื่อเช้าตนได้แจ้งว่า เพิ่งเปิดประตูให้เจรจากันได้ ดังนั้นจะเป็นการคุยแค่เฉพาะเทคนิคล้วนๆ เรื่องชวนทะเลาะไม่เอา เรื่องชวนทะเลาะ ปิดประตูคุยกันก็เคยมาแล้ว ตนเจอหนักกว่านี้มาแล้ว เมื่อวานถือว่าสมูทที่สุดแล้ว มีการอัดกันเบาๆ ในห้องประชุม ประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับตนคือเบามาก กว่าที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้
— ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทย
เมื่อถามว่ากัมพูชาได้มีการแจ้งว่า จะยื่นเรื่อง 4 พื้นที่พิพาท ต่อศาลโลกในที่ประชุมหรือไม่ และในการประชุมครั้งหน้า กัมพูชายืนยันว่าจะไม่มีการพูดคุย 4 พื้นที่พิพาท ในกลไกทวีภาคี ดังนั้นในการพูดคุยในเดือนกันยายน 2568 ไทยจะเป็นผู้เสนอ กลับเข้าสู่ที่ประชุมเจบีซีได้หรือไม่ ประศาสน์ กล่าวว่าเรื่องนี้อยู่เกินขอบข่ายที่ตนจะต้องพูด แต่ตนขอตอบเลยว่า นายกฯ ของเขา ได้โพสต์ข้อความก่อนวันประชุม ว่าไม่ให้พูดเรื่องนี้ในที่ประชุม เขาจึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาในวงเล็ก เพื่อบอกว่าเขาจะไม่พูด ตนก็โอเครับทราบว่าเขาจะไม่พูด
แต่บอกว่าเสียดาย แม้จะไม่พูดเรื่องเขตแดน เพราะต้องการเอาขึ้นศาลโลกก็เรื่องของท่าน แต่หนึ่งในนั้นเป็นจุดที่เกิดการปะทะกัน และอดีตเคยมีประธานไปคุยกันที่แนวชายแดน ไปดูให้เห็นกับตาและกำหนดมาตรการชั่วคราว มีการตีกรอบไม่ให้เข้าไปทำกิจกรรมใดๆ กำหนดความกว้างความยาวเท่าที่จำเป็น ไม่ให้เข้าไปใกล้กันจนเกิดการกระทบกระทั่ง แต่ตนขอว่าเราเคยมีหลักปฏิบัติชั่วคราวเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านทะเลาะกัน ขอยกรื่องนี้มาพูดได้หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการพูดในวงเล็ก จึงไม่มีอยู่ในรายงานการประชุมเลย แต่มีการคุยกันเกือบชั่วโมง แต่เขาได้รับคำสั่งชัดเจนว่าไม่ให้พูด ไม่ให้ยกขึ้นหารือ และเมื่อเขาเอาเรื่องในกลุ่มเล็กมาพูด ตนก็เอามาพูดได้บ้างแล้วกัน ในเรื่องที่คิดว่าไม่ ทำให้เกิดความเสียหาย ให้เห็นบรรยากาศ จริงๆ มันสมูท ไม่ได้งี่เง่าไปถูกเขาหลอกแบบสมูทนะ เพราะมีการอัดกันแรงพอสมควร แต่ยืนยันว่าแรงน้อยที่สุดแล้ว ตั้งแต่ตนเคยเจอมา
เมื่อถามว่า ใน MOU 2543 มีการบันทึกว่า การปักปันแนวเขตจะต้องยึดที่สันปันน้ำใช่หรือไม่ และแนวเขตในการปักปันแตกต่างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และ 1 ต่อ 50,000 อย่างไร ประศาสน์ กล่าวว่า เรายึดจากสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 รวมถึงแผนที่ ซึ่งเป็นผลการสำรวจปักปันในอดีต รวมถึงเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่กฏหมายระหว่างประเทศให้การรับรอง เช่น รายงานข้าหลวง ที่ไปปั่นเขตแดน ทางกัมพูชานอกจากนี้ทางกัมพูชาเคยไปปักปันหลักไม้ไว้ 2 ครั้ง และมีการจัดทำภาพแผนผัง ที่หลายคนเรียกว่าบันทึกวาจา ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนเป็นหลักซีเมนต์ และทำบันทึกวาจาไว้
เมื่อถามว่าเมื่อกัมพูชาอ้างว่า แผนที่ 1 ต่อ 50,000 เป็นแผนที่ที่ไทยทำเพียงฝ่ายเดียว ประศาสน์ ชี้แจงว่า แผนที่ 1 ต่อ 50,000 เป็นแผนที่ยุทธการ ที่แต่ละประเทศผลิตขึ้นมาเองไม่ว่าจะด้วยทางเทคโนโลยีหรือความร่วมมือต่างๆ ในส่วนของไทยในปี 2495 เราเคยทำมาแล้วที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ทำให้กับ อินโดจีน ไทย ลาว กัมพูชา
หลังจากนั้นแต่ละประเทศ ก็จะไปพัฒนาข้อมูลต่างๆ ซึ่งถือเป็นการทำฝ่ายเดียว เป็นการต่างคนต่างทำ ไม่มีผลผูกพัน แต่ต่อให้ทำร่วมกันก็ไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ ไม่ใช่แผนที่ที่ทำโดยสนธิสัญญา
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ สอน ‘กัมพูชา’ ฟ้อง ‘ศาลโลก’ สุดท้ายศาลพิจารณาแค่หลักการ ก่อนร้องศาล ควรเจรจา ‘คู่กรณี’ ก่อน ตามกลไก MOU 2543 - กฎบัตรยูเอ็น
เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวว่า ฝ่ายกัมพูชาได้นำเรื่อง 4 พื้นที่ ไปร้องศาลโลก และไม่ได้นำมาพิจารณาในวงประชุมเจบีซี ซึ่งตนขออ้างตามคำพูดของ ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทย ว่า เป็นเรื่องน่าเสียดาย ตามกลไกทวิภาคียังคงดำเนินต่อไปว่ามีความคืบหน้าจริง ณ ตอนนี้ รัฐบาลยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากฝ่ายกัมพูชาและศาลโลก ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงเฮก ก็ติดตามอย่างใกล้ชิด ในรายละเอียดคำร้องของกัมพูชาฟ้องอย่างไร ใช้ฐานอำนาจใด ซึ่งกรมไม่ได้นิ่งนอนใจและมีทีมเตรียมรับมือ ซึ่งได้ศึกษาประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เรามีที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นที่ปรึกษาให้กับเรา
ตามหลักการจะนำเรื่องเข้าพิจารษาของศาลโลก ทั้ง 2 ฝ่ายต้องยอมรับ แต่ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ตั้งแต่ปี 2503 เช่นเดียวกับ 118 ประเทศ ที่ไม่ยอมรับอำนาจศาลโกล เราจึงต้องพิจาณาอย่างถีถ้วนในกรแก้ปัญหาข้อพิพาท ในลักษณะของข้อพิพาทและนัยะอธิปไตยของแต่ละประเทศ ซึ่งตนขอใช้คำว่าน่าเสียดาย
.jpg&w=3840&q=75)
ก่อนจะไปศาลโลกทั้ง 2 ฝ่าย ควรมาตกลงกันก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องคนสองคนไปขึ้นศาล แต่จะต้องมีการตีกรอบไปขึ้นศาลแต่ประเด็นนี้กัมพูชา นำเสนอเรื่องต่อสาธารณะชน แทนที่จะพูดคุยกับรัฐบาลไทยและฝ่ายไทย เป็นเรื่องน่าเสียดายซ้ำสอง เป็นการปิดโอกาสที่ 2 ฝ่าย ได้พูดอย่างเปิดใจ ความขุ่นข้อง หมองใจ ความติดขัด ขอกลับไปพูด MOU 2543 ที่ข้อ 8 ระบุชัดเจนว่า หากมีปัญหาในการตีความ หรือการยังคับใช้ MOU ให้สองฝ่ายปรึกษาหารือ หรือเจรจากันก่อน จึงเป็นการข้ามขั้นตอน
อีกทั้งตามกฎบัตรสหประชาชาติ เน้นเรื่องการให้คู่กรณีพูดคุยกันก่อน และมีกลไกอื่นๆอีกมาก ก่อนจะนำเรื่องไปศาล ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สามารถจะตกกันได้แล้ว ปัญหาข้อเท็จจริงกรณีนี้ คือ ไม่เคยมีการพูดในการประชุมเจบีซีเลย
ซึ่งเรื่องเขตแดนเป็นเรื่องทางเทคนิค มีค่าใช้จ่าย เรื่องของกำลังคน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้จะได้ผลออกมา แต่เรากำลังพูดถึงระยะเวลาปีถึงสิบปี ซึ่งปกติแล้ว เมื่อศาลโลกตัดสิน ก็จะยึดตามหลักการ และให้คู่กรณีไปลงรายละเอียดในพื้นที่กันเอง สิ่งที่ตนอยากจะบอกคือหนีไม่พ้นการปักปันเขตแดน โดยอาศัยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งเราไม่ได้หลีกหนีอะไร แต่ขอให้อยู่กับข้อเท็จจริง เรามีกรอบทางกฎหมาย สนธิสัญญา MOU ที่พร้อมใช้ในการปฏิบัติงาน สุดท้ายขอย้ำว่าเรามีกลไกทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพ ทั้ง เจบีซี , จีบีซี , อาร์บีซี จึงอยากเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาใช้เครื่องมือที่เรามีอยู่ก่อน
โฆษก กต. เผยเตรียมรับมือไว้แล้ว ตอกกลับเพื่อนบ้านที่ดี ต้องไม่ยื่นคำขู่ ย้ำ ‘ไทย’ มีสติ มีวุฒิภาวะ ตอบโต้ระดับรัฐบาล
นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าตามที่ได้ทราบแล้วว่าเมื่อคืนวานนี้ (15 มิ.ย.) กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงข่าวเรื่องผลการประชุม JBC สะท้อนท่าทีว่าไทยที่ชัดเจนเรื่องการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และกลไกทวิภาคีตามที่รัฐบาลไทยได้แถลงยืนยันมาโดยตลอดว่า ไทยยึดมั่นในการใช้กลไกทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนด้วยความจริงใจและสุจริตใจ รวมถึงการเข้าร่วมประชุม JBC ที่ผ่านมาที่ไทยเข้าร่วมด้วยความตั้งใจจริงและความสุจริตใจที่จะเห็นผลลัพธ์เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
วันนี้เห็นเราว่าฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ตอบสนองแต่ยังคงเลือกที่จะเสนอพื้นที่ 4 จุด ได้แก่ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งในการเจรจาร่างระเบียบวาระการประชุม ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะไม่หารือกรณีพื้นที่ 4 จุดในการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายไทยจึงแสดงความผิดหวัง เพราะประเด็นด้านเขตแดนทั้งหมดอยู่ในขอบเขตการทำงานของ JBC ซึ่งเป็นประเด็นเชิงเทคนิค
การประชุม JBC ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมีประสิทธิผลและทำต่อเนื่องมาตลอด 25 ปี การประชุม JBC จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากสถานการณ์ชายที่เกิดขึ้น จึงย้ำว่ากลไกทวิภาคีผ่านการประชุม JBC ยังดำเนินการได้ มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม JBC สมัยพิเศษในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้ตอบตกลงที่จะเข้าร่วม
ขณะที่การร้องต่อ ICJ ของกัมพูชา รัฐบาลไทยไม่รับเขตอำนาจศาล ICJ มาตั้งตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน ประธาน JBC ฝ่ายไทยได้ย้ำในถ้อยแถลง ซึ่งประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชาได้รับทราบ และกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมแนวทางการรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว
สำหรับมาตรการตอบโต้ระหว่างไทย-กัมพูชา กัมพูชามีมาตรการต่างๆ รวมถึงคำขู่ว่าจะปิดด่านและงดนำเข้าสินค้าจากไทยหากไม่เปิดด่าน ย้ำว่า
ไทยปฏิบัติตามหลักสากล การเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ดีจะไม่ใช้การยื่นคำขาดต่อกัน โดยที่ไม่มีการหารือ หรือหาทางออกสร้างสรรค์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝ่ายมากที่สุด ทั้งนี้ไทยยึดถือผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนมาโดยตลอด
— นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
“มาตรการของไทยที่ผ่านมาเป็นการตอบโต้ระดับรัฐบาล ไม่มีเป้าหมายโจมตีประชาชน แนวทางการสื่อสารผ่านโซเชียลมิเดีย ไม่ใช่ช่องทางที่เป็นทางการ การยื่นคำขาดต่อกันอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดระดับประชาชน สะท้อนว่ากัมพูชาขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ร่วมกับบทพื้นฐานความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี”
รัฐบาลใช้วิจารณญาณและความมีสติในการออกมาตรการตอบโต้อย่างรอบคอบและมีวุฒิภาวะ ไม่ใช้อารมณ์และจะไม่เอาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเป็นประเด็นทางการเมือง ยกตัวอย่างกรณีแรงงานต่างชาติ นายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวเรื่องนี้ไปแล้วว่า รัฐบาลไม่มีแนวคิดผลักดันแรงงานไทยออกนอกราชอาณาจักร ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแรงงานเอง
ส่วนการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยยังดำเนินการอยู่และดำเนินการมาพักหนึ่งแล้ว เราไม่เคยนิ่งนอนใจ ซึ่งวันนี้กระทรวงการต่างประเทศจะจัดรายงานสรุปให้กับคณะทูต 15.30 น. เพื่อให้ข้อเท็จจริงว่าอะไรเกิดขึ้น ทั้งนโยบายสันติที่ไทยดำเนินการมาโดยตลอด และแนวทางที่จะไทยจะใช้ต่อไป

นิกรเดช ย้ำว่าขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลอย่างชัดเจน ฝ่ายไทยจะนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องไม่บิดเบือนเพื่อให้ประชาชนรับทราบอย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไปเผยแพร่ในวงกว้าง
ในช่วงถามตอบ นายนิกรเดช ชี้แจงถึงการแถลงข่าวของทางการไทยที่ล่าช้าว่าการตอบโต้ไม่ใช่ทางออกเสมอไป จะต้องเป็นคำตอบที่ไม่กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชิงลึก อีกทั้งคณะกรรมาธิการ JBC ฝ่ายไทยเพิ่งเดินทางกลับมาถึงประมาณ 21.00 น.ของวานนี้ จึงไม่เหมาะสมในการเชิญสื่อมวลชนมาแถลงข่าวตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จึงมีการออกแถลงการณ์ในช่วงกลางดึก และเชิญนายประศาสน์ มาแถลงด้วยตนเองวันนี้