สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (อดีต สว.) พร้อมด้วย นิติธร ล้ำเหลือ (ทนายนกเขา) ,คมสัน โพธิคง นักวิชาการกฎหมาย เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) วันที่ 19 มิถุนายน 2568 เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในความผิดตามมาตาม 119 ,120,122,128 และ 129 จากกรณีคลิปเสียงเจรจาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
อดีต สว.สมชาย กล่าวว่า เราในฐานะประชาชนที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ จึงเป็นตัวแทนมายื่นร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญา กับ นางสาวแพทองธาร เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นประมุขของประเทศ การที่แอบไปเจรจาเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทยกัมพูชา กับ นายฮุน เซน ตามคลิปเสียงที่ปรากฏขึ้น
“แม้จะอ้างว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเนื้อหาที่พูดกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เข้าข่ายความผิดอาญาหมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร มาตรา 120 ถึง 128 จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประธานวุฒิสภากัมพูชา ความยาว 17.06 นาที ซึ่งมีพฤติกรรมล่อแหลมส่งผลทำให้ประเทศชาติเสียหาย เป็นความผิดร้ายแรง จึงอยากให้ตำรวจดำเนินการกฎหมาย โดยนำคลิปเสียงดังกล่าวมามอบให้ประกอบการพิจารณา”
“การกระทำของ นายกรัฐมนตรี สุ่มเสี่ยงสูญเสียอธิปไตย และ อาจมีการกระทำอื่นๆอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้รับเผยแพร่”
สมชาย กล่าวต่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดส่วนตัวของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง หากไม่ลาออกปัญหาจะบานปลาย เพราะเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเองก็ต้องถอนตัว
“ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่อยากให้หลงประเด็นว่าต้องยุบสภา เพราะไม่ใช่ความผิดของ สส. และพรรคฝ่ายค้านเองก็อย่าอาศัยจังหวะนี้หาประโยชน์ทางการเมือง เพราะการยุบสภาจะทำให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น แม้พรรคประชาชนได้เปรียบในการเลือกตั้งใหม่ แต่ไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาบ้านเมือง”
สมชาย กล่าวด้วยว่า แต่กระนั้นเองเราก็ไม่สามารถที่จะยอมให้นายกฯ ทำหน้าที่ต่อไปได้ เพราะไม่รู้ว่าประเทศจะได้รับผลกระทบอะไรเพิ่มขึ้นอีกบ้าง และยังไม่รู้ว่าจะมีคลิปเสียงอะไรที่มีการพูดคุยตกลงกันโผล่ขึ้นมาอีกบ้าง ดังนั้นตัวนายกรัฐมนตรีจึงต้องเปลี่ยน จะเป็นใครก็ว่าไป แล้วจัดตั้งคณะรัฐบาลใหม่ บ้านเมืองถึงจะเดินต่อไปได้ เพราะถ้าแก้ด้วยการยุบสภา ปัญหาจะยืดเยื้อ จะเกิดรัฐบาลรักษาการ เกิดภาวะวิกฤต ประเทศจมปรัก นำมาสู่การรัฐประหาร ซึ่งฝั่งทหารเองก็คงไม่อยากปฏิวัติ อยากให้การเมืองแก้ปัญหาตัวเอง แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่าประชาชนโกรธทั้งประเทศ
“จากเรื่องคลิปเสียงที่ปรากฏ เกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา ค่อนข้างชัดเจน ว่านายกรัฐมนตรี แก้ปัญหาพลาด มีความผิดตามกฎหมาย ส่วนความผิดอื่นต้องไปยื่น ป.ป.ช. ทั้งนี้มองว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้น คำอธิบายของ นายกรัฐมนตรี ที่ไปเจรจากับ ฮุน เซน ฟังแล้วแก้ตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการด้อยค่าแม่ทัพภาค 2 เหมือนนายกฯ ตัดหัวแม่ทัพไปบรรณาการฝ่ายตรงข้าม หรือการนำความลับมาตรการต่างๆ ของกองทัพหรือสภาความมั่นคงระดับชาติ ไปบอกฝั่งตรงข้าม ถือว่ากระทำผิดชัดเจน แสดงถึงความไม่มีวุฒิภาวะ ถ้าปล่อยให้ทำหน้าที่ต่อ สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดน ประชาชน และ กองทัพ จะไม่ยอมและอาจนำมาสู่รัฐประหาร ใครทำผิดรับผิด ต้องลาออก อย่าทำให้เรื่องบานปลาย”
— สมชาย แสวงการ อดีต สว.
สมชาย กล่าวอีกว่า ในวันพรุ่งนี้ (20 มิถุนายน 2568) เวลา 10.00 น.จะมีการประชุมจากภาคประชาชนที่รักประเทศชาติ เพื่อเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกไป อาจมีการกำหนดวันนัดชุมนุมใหญ่ของคนไทยการแสดงเจตนารมณ์ปกป้องประเทศ ซึ่งจะมีการนัดแนะสถานที่อีกครั้ง
ด้าน คมสัน กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรี บอกว่าฝั่งเขาไม่ใช่ฝั่งเรา เป็นข้อความที่แสดงว่าเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาเป็นหลัก อีกทั้งการที่ไปบอกว่า แม่ทัพภาค 2 เป็นคนละพวกกัน เป็นการแสดงออกชัดเจนว่า นายกฯ ไม่ใช่นายกฯของไทย รวมถึงการนำความลับมาตรการความมั่นคงต่างๆ ไปเปิดเผย รวมถึงการนำเสนอผลประโยชน์ต่างๆ ให้ฝั่งตรงข้ามถือเข้าข่ายผิดกฎหมาย
“จากสิ่งที่ปรากฏความผิดค่อนข้างชัดเจน ส่วนที่เลือกมาแจ้งความตำรวจสอบสวนกลาง เพราะต้องการดำเนินคดีอาญา ส่วนการจะไปยื่นที่ ป.ป.ช. ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งเป็นในเรื่องของอนาคต ขณะตำรวจก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป”
นิติธร กล่าวว่า วันนี้ต้องยอมรับว่า คนไทยไม่มีใครคิดต่างว่า กัมพูชา แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับไทย แต่สิ่งที่นายกฯ ทำคือทำตัวเองเป็นปรปักษ์กับประเทศตัวเอง ถึงจะอ้างว่าเป็นเทคนิคเจรา ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะนี่ไม่ใช่กิจการค้าขายแต่เป็นเรื่องของแผ่นดิน
“การกระทำของ นายกรัฐมนตรี ส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองแน่นอน เพราะผู้นำทำตัวเป็นภัยต่อแผ่นดิน และ ในวันนี้พรุ่งนี้ (20 มิถุนายน 2568) ภาคประชาชนหลายภาคส่วน จะร่วมกันหารือ เพื่อกำหนดท่าที โดยเบื้องต้น จะเริ่มจากการออกแถลงการณ์ให้นายกฯ ลาออก หลังจากนั้นจะกำหนดท่าทีใหม่อีกครั้ง”