ช่องบกกระดานหก‘ตระกูลฮุน’ สานต่ออำนาจ สร้างตำนาน สู่เส้นทาง ‘รัฐบุรุษ’

10 มิ.ย. 2568 - 08:11

  • ถอดรหัสท่าที ‘พ่อลูกตระกูลฮุน’ สร้างสถานการณ์จุดชนวนจากช่องบก จนถูกยกระดับไปเวทีโลก

  • หมากเกมนี้หวังผลสร้างตำนาน สู่เส้นทาง ‘รัฐบุรุษ’ ของผู้พ่อในช่วงบั้นปลาย ก่อนส่งไม้ต่อให้ผู้ลูกครองอำนาจ

ช่องบกกระดานหก‘ตระกูลฮุน’ สานต่ออำนาจ สร้างตำนาน สู่เส้นทาง ‘รัฐบุรุษ’

เป็นไปตามคาด เมื่อ “พ่อ-ลูกตระกูลฮุน” ต่างมิได้เห็นข้อตกลงการถอนกำลังออกจากจุดขัดแย้งที่บริเวณช่องบก เป็นสาระสำคัญที่จะนำไปสู่การใช้เวที JBC : Joint Boundary Commission เป็นช่องทางในการเจรจาหาข้อยุติ

สมเด็จฮุนเซน ผู้พ่อ ยืนยันผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเองว่า กัมพูชามิได้ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ แต่เป็นการปรับกำลัง เพื่อลดการเผชิญหน้าที่สุ่มเสี่ยงต่อการปะทะ

เนื้อหาในโพสต์ของสมเด็จฮุนเซน ใช้ถ้อยคำที่มีการระมัด ระวัง ต่อการถูกนำไปใช้ในเวทีการทูต หรือการพิจารณาในเวทีระดับนานาชาติ โดยระบุว่า 

“การปรับกำลังทหารนั้น ไม่ใช่การถอนทหารออกจากดินแดนของตนเอง แต่เป็นการปรับกำลังทหารในดินแดนของตัวเอง การปรับกำลังทหารก็เหมือนกับการนอนบนเตียง ตั้งแต่หัวถึงปลายเท้าเราอยู่บนที่นอน แต่ตอนนี้เรายกหัวขึ้น เพื่อจะนอนใหม่ ดินแดนของเรา ก็ยังคงเป็นดินแดนของเรา”

สมเด็จฮุนเซน ยังยืนยันว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงความคิด สำหรับการยื่นฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ทุกอย่างยังคงเป็นจุดยืนและเจตนารมณ์เดิม 

ขณะที่ พล.อ.ฮุน มาเนต ผู้ลูก ซึ่งแถลงข้ามทวีปมาจากประเทศฝรั่งเศส ขณะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจอยู่ที่นั่น ซึ่งเชื่อว่า หนึ่งในนั้นเป็นภารกิจการเจรจา Lobby นานาชาติ เพื่อขอเสียงสนับสนุนกรณีพิพาทไทย-กัมพูชาด้วย 

เนื้อหาในโพสต์ของ พล.อ.ฮุน มาเนต ซึ่งเป็นแถลงการณ์ 3 ข้อ แต่ละข้อต่างใช้ถ้อยคำที่ผ่านการกลั่นกรอง และมีเนื้อหาที่สามารถหยิบยกขึ้นไปเอ่ยอ้างบนเวทีนานาชาติได้ทั้งสิ้น 

ข้อแรก เป็นเรื่องของการถอยกำลัง ที่ พล.อ.ฮุน มาเนต ใช้ถ้อยคำว่า ปรับกำลังเช่นกัน และพยายามยืนยันถึงสิทธิอันชอบธรรม ที่จะคงกำลังทหารไว้ในพื้นที่นั้น เพราะพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา 

โดยระบุว่า “กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงจุดยืนที่ชัดเจนของกองทัพกัมพูชาบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทยว่ากองทัพกัมพูชาไม่มีการถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาและที่กองทัพของเรายึดครองมาเป็นเวลานาน การเตรียมกำลังทั้งหมดของกองทัพกัมพูชาไม่ว่าจะเป็นการประจำการการส่งกำลังการปรับกำลังและการระดมกำลังล้วนอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาและมีเป้าหมายเพื่อเตรียมพร้อมปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาเท่านั้น”

“กองทัพกัมพูชาสนับสนุนความพยายามในการหาทางแก้ไขปัญหานี้โดยสันติแต่พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนจากการพยายามรุกรานใดๆ

กองทัพกัมพูชาพร้อมที่จะเข้าร่วมสนับสนุนกลไกการเจรจาชายแดนกับไทยที่มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเพื่อดำเนินงานรังวัดและปักปันเขตแดนที่เหลือระหว่าง 2 ประเทศต่อไปยกเว้นประเด็นที่กัมพูชาจะส่งให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พิจารณา”

ข้อที่สอง เป็นเรื่องการยืนยันท่าที พร้อมจะใช้เวที JBC เพื่อเจรจาเรื่องแนวเขตแดน และการรังวัดเขตแดนไทย - กัมพูชา ภายใต้MOU43 ยกเว้นปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ที่สงวนไว้สำหรับการส่งเรื่อง เพื่อใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

โพสต์ของ พล..ฮุนมาเนตยังระบุด้วยว่า “นอกเหนือจากคำกล่าวของกระทรวงกลาโหมข้างต้นแล้ว ผมขอย้ำกับเพื่อนร่วมชาติว่ารัฐบาลยังคงรักษาจุดยืนในการร่วมมือกับฝ่ายไทยในการส่งเสริมการรังวัดเขตแดนที่เหลือและการกำหนดแนวเขตแดนระหว่างสองประเทศ โดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) เป็นเลขานุการ ซึ่งยึดตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ (โดยเฉพาะบันทึกความเข้าใจปี 2543) และกฎหมายระหว่างประเทศ (รวมถึงกลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)”

“ในกรณีที่จำเป็น เช่น กรณีปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ที่กัมพูชาจะส่งต่อให้ ICJ พิจารณาในอนาคต) รัฐบาลจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศต่อไปโดยใช้กลไกที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนทั้งสองประเทศ”

ข้อสามพล.อ.ฮุน มาเนต เรียกร้องให้ประชาชนและสื่อมวลชนกัมพูชา หยุดการสร้างข้อมูล หรือแชร์ข้อมูลที่จะสร้างความเข้าใจผิด ที่จะนำไปสู่การสร้างความขัดแย้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศโดยระบุว่า

“ขอเรียกร้องสื่อมวลชนและประชาชนของเรา อยู่เงียบๆและเชื่อมั่นว่ารัฐบาลและกองทัพกัมพูชาจะปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและผลประโยชน์สูงสุดของประเทศกัมพูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรดหลีกเลี่ยงการสร้างหรือแชร์ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการพูดเกินจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ซึ่งอาจยกระดับปัญหาให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ”

ที่ต้องนำโพสต์ของทั้งพ่อและลูก สมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต ลงอย่างละเอียด เพราะทุกถ้อยคำของทั้งคู่ สะท้อนให้เห็นถึงการวางเกมการเมืองระหว่างประเทศ ความช่ำชอง และความเชี่ยวชาญบนเวทีทางการทูต ที่สมเด็จฮุน เซน ผู้พ่อ พยายามส่งต่อความเชี่ยวชาญนั้นมายัง พล.อ.ฮุน มาเนต ผู้ลูก 

โพสต์ทั้งหมด และทุกถ้อยคำ ยังยืนยันชัดว่า กัมพูชาแสดงเจตนารมณ์ที่จะใช้เวทีระดับนานาชาติเท่านั้น ในการแก้ปัญหาพื้นที่พิพาทสำคัญ ทั้งบริเวณสามเหลี่ยมมรกต และปราสาทตาเมือนธม ส่วนเวที JBC เป็นการพูดคุยความร่วมมือในระดับปฏิบัติ กรณีที่มีรังวัดเส้นเขตแดนตาม MOU 43

หากถอดรหัสเกมของสมเด็จฮุน เซน วันนี้ จะเห็นว่า เหตุใดกัมพูชาไม่ใช้เวทีทวิภาคี JBC หรือเวทีที่ระดับผู้นำ 2 ประเทศนั่งจับเข่าคุยกัน ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ‘ตระกูลฮุน’ และ ครอบครัว ‘ตระกูลชิน’ น่าจะใกล้ชิดและแนบแน่นที่จะพูดคุยกันได้อย่างสันติ 

รหัสข้อแรก คือ สมเด็จฮุน เซน รู้ดีว่า ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวชินวัตร มิได้มีสถานะที่ได้รับการยอมรับจากชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง เหมือนที่ผ่านมา

ข้อที่สอง สมเด็จฮุน เซน ยิ่งรู้ดีว่า การเจรจาหรือ การทำข้อตกลงใดๆที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน หรือผลประโยชน์ร่วม ไทย - กัมพูชา ซึ่งดำเนินการภายใต้รัฐบาลของ พล.อ.ฮุน มาเนต และรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะไม่ได้รับการยอมรับและถูกคัดค้าน รวมถึงถูกต่อต้านอย่างอย่างหนัก จากชนชั้นสูง และชนชั้นกลางของประเทศ แม้ข้อตกลงนั้น ฝ่ายไทยจะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ หรือ เป็นฝ่ายได้เปรียบกัมพูชา 

ความขัดแย้ง หรือ ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนทั้งบนบกและในทะเล ไม่มีวันจบลงด้วยการเจรจาทวิภาคีเด็ดขาด เพราะข้อตกลงนั้น อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ ทั้งในประเทศกัมพูชาและในประเทศไทย 

จุดแข็งของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง ‘ตระกูลฮุน’ และ ‘ตระกูลชิน’ คือ จุดอ่อน และ จุดตาย ของทั้งสองตระกูล กรณีการเจรจาข้อตกลงไทย - กัมพูชา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน และ ผลประโยชน์ร่วม 

จุดจบของความขัดแย้งและข้อพิพาทเรื่องเขตแดนไทย - กัมพูชา จึงต้องถูกหยิบยกขึ้นไปสู่เวทีระดับนานาชาติ ซึ่งมีคนกลางเข้ามาตัดสินเท่านั้น หรือการใช้หลักกฎหมายปิดปาก ดังที่สมเด็จ นโรดม สีหนุ เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว กรณีเขาพระวิหาร ที่ศาลโลกตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา

รวมทั้งล่าสุด เมื่อปี 2556 ที่กัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลโลกอีกครั้งเพื่อขอให้ศาลตีความคำพิพากษา ปี พ.ศ. 2505 โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “พื้นที่โดยรอบปราสาท”

กระทั่งศาลโลกมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 โดยสรุปว่า ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยทั้งหมดออกจาก “บริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบปราสาท” โดยระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวคือส่วนยอดของพระวิหารทั้งหมด

การใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศปิดปากไทย กำลังเริ่มขึ้นอีกครั้ง และมีการเดิมเกมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ค่อยๆ ขยับชุมชนชาวบ้านในบริเวณนั้นเข้ามาเรื่อยๆ การนำกำลังรุกล้ำเขตแดนมาหลายครั้ง 

การนำมวลชนขึ้นไปบนปราสาทตาเมือน เพื่อแสดงเชิงสัญญลักษณ์ กระทั่งล่าสุดการขุดคูเลต เข้ามาในพื้นที่ช่องบก จนนำไปสู่การปะทะ และการเสียชีวิตของทหารกัมพูชาหนี่งราย 

ทั้งหมดได้ดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ที่พร้อมถูกรวบรวมเป็นหลักฐานที่จะนำไปสู่การพิจารณาของเวทีระดับนานาชาติทั้งสิ้น 

ความเคลื่อนไหวของสมเด็จฮุน เซน และพล.อ.ฮุน มาเนต ล่าสุด เห็นชัดว่า วันนี้กัมพูชาพร้อมแล้วที่จะขึ้นสู่ทุกเวทีในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ เวทีอาเซียน หรือแม้แต่ UN 

นี่คือรหัสการเคลื่อนไหวแรก ของ พ่อ-ลูก ‘ตระกูลฮุน’ ที่กำลังดำเนินไปอย่างแนบเนียน…

ส่วนเป้าหมายสำคัญ อันจะนำไปสู่จุดเปลี่ยน และจุดจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าเขียนใน EP. นี้จะยาวเกินไป คงต้องขอพื้นที่นี้เพื่อขยายประเด็นต่อ

EP.หน้าจะลงลึกมากขึ้นว่า สมเด็จฮุน เซน อดีตรัฐมนตรีว่ากระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาสองสมัย ซ่อนนัยยะสำคัญของหมากกระดานนี้ไว้อย่างไร 

อะไร คือ หมากสำคัญที่จะทำให้เขา เดินหน้าไปสู่การสร้างตำนานการเป็น ‘รัฐบุรุษ’ อย่างสมบูรณ์แบบของเขมร และจะส่งต่อความสำเร็จนี้ สู่เส้นทางอำนาจที่ยั่งยืนของ พล.อ.ฮุน มาเนต ผู้ลูกได้อย่างไร 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์