พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการดำเนินการต่อเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี และกรณีที่ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความเตรียมบรรจุวาระการประชุม JBC เพื่อนำประเด็นเรื่องปราสาทตาเหมือนธม ปราสาทตาเหมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมไบ (สามเหลี่ยมมรกต-บริเวณช่องบก) เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ว่า ยังเป็นคนละเรื่องกันกับปัญหาปัจจุบัน ปัจจุบันคือ การทำอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ยังไม่ได้เป็นเน้นการชี้ชัดว่าควรเป็นดินแดนของใคร
ในลำดับแรก จึงถอยห่างจากจุดปะทะ และให้ คณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) มาดูในเป็นเรื่องปักปันเขตแดนหรือกฎหมาย ข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพราะที่ ทบ. นำโดย พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ไปพูดคุยกับ พล.อ.เมา โซะพัน ผบ.ทบ.กัมพูชา มีเห็นตรงกัน 3 ประเด็น คือ การถอยกำลังออกจากพื้นที่จุดปะทะ และการใช้กลไก JBC มาร่วมแก้ปัญหาเรื่องเขตแดน เรื่องสนธิสัญญาและข้อปฎิบัติตามเอ็มโอยู ซึ่งจะระมัดระวังดูแลกำลังพลพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นกันอีก
ด้วยมีกติกาข้อตกลงที่ใช้กันมาก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุที่เส้นแบ่งเขตแดนในแผนที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายอ้างอิงใช้เป็นคนละฉบับ ทำให้เส้นเขตแดนไม่ได้ทับเป็นเส้นเดียวกัน จึงทำให้เกิดแก๊ป (Gap) เป็นพื้นที่ทับซ้อนกัน อย่างกรณีพื้นที่จุดปะทะ ที่เห็นชัดมีการวางกำลัง และมีการขุดคูเลต ก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนนี้
ซึ่งที่ผ่านมามีกติกาข้อตกลงที่สามารถใช้ร่วมกันมาได้ตลอด เช่น การไม่ดัดแปลงสภาพภูมิประเทศ ต้องไม่มีการวางกำลังทางทหาร ในลักษณะเอาปืนวางหันหน้าใส่ไทย เราจึงต้องมาร่วมกันรักษากติกาข้อตกลงที่ให้ไว้ต่อกันให้ได้ ก่อนที่จะไปใช้กลไกอื่นๆ
ส่วนกรณีที่สมเด็จฮุนเซนโพสต์ภาพและข้อความอ้างสิทธิพื้นที่สนามเหลี่ยมมรกต พล.ต.วินธัย กล่าวว่า น่าจะเป็นพื้นที่ใกล้ศาลาตรีมุข และไม่ใช่พื้นที่จุดที่เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ซึ่งตรงจุดปะทะนั้นจะมีสภาพพื้นที่เป็นป่า ไม่เคยพบว่ามี ชาวบ้าน หรือทหารกัมพูชามาประจำอยู่ จากหลักฐานภาพถ่าย ชัดเจนว่าเหมือนเพิ่งมาขุดคูเลตเพื่อใช้ทำกิจกรรมทางทหารกันไม่นานมานี้ ไม่ใช่ขุดอยู่กันมาเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว