ฮุน เซน ผู้เสพติด ‘อำนาจ’

21 มิ.ย. 2568 - 03:34

  • ฮุน เซนปกครองกัมพูชานาน 38 ปี (1985-2023) ผสมผสานการพัฒนาเศรษฐกิจกับการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ

  • เศรษฐกิจเติบโต แหล่งพักพิงใหญ่คอลล์เซ็นเตอร์

  • การสืบทอดอำนาจสู่ฮุน มาเนต พร้อมความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาในปี 2025

ฮุน เซน ผู้เสพติด ‘อำนาจ’

การปกครองของ ฮุน เซน ในกัมพูชาเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตาในเวทีการเมืองโลก ด้วยระยะเวลาการครองอำนาจที่ยาวนานและอิทธิพลที่แผ่ขยายไปทั่วทุกมิติของสังคมกัมพูชา สามารถกุมบังเหียนประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทุกการเคลื่อนไหวของประเทศล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมแบบเบ็ดเสร็จ

ชีวิตช่วงต้นและการก้าวขึ้นสู่อำนาจ

ฮุน เซน เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2495 ในหมู่บ้านเปียมก๊อซนา จังหวัดกำปงจาม ภายใต้ชื่อ 'ฮุน บุนาล' หรือ 'ฮุน นาล' ชีวิตในวัยเด็กของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบากและความแร้นแค้น ครอบครัวของเขาต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ถึงขั้นต้องขายที่ดินเพื่อไถ่ตัวย่าจากการถูกลักพาตัว

เมื่ออายุ 13 ปี ฮุน เซนได้ออกจากบ้านเกิดเพื่อไปศึกษาที่วัดอุณาโลมในกรุงพนมเปญ การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อการศึกษา แต่เป็นการออกไปแสวงหาหนทางในการยังชีพและเอาตัวรอดในโลกภายนอก

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของฮุน เซนเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2513 เมื่อเขาตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการเขมรแดงที่นำโดยนายพลลอน นอล การเข้าร่วมขบวนการนี้เป็นก้าวแรกของเขาในเส้นทางการเมืองและการทหาร อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นที่แตกต่างกับนโยบายที่รุนแรงและโหดร้ายของเขมรแดง โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2520 ทำให้เขาตัดสินใจหลบหนีไปยังประเทศเวียดนามในปีเดียวกัน

การหลบหนีครั้งนี้กลับกลายเป็นบันไดสำคัญที่นำเขาสู่จุดสูงสุดของอำนาจ เมื่อเขากลับคืนสู่กัมพูชาพร้อมกับกองทัพเวียดนามในปี พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ระบอบเขมรแดงล่มสลายลง การกลับมาของเขาในครั้งนั้นจึงเป็นการเปิดฉากบทใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพูชาและชีวิตของฮุน เซนเอง

กลับมาใหญ่มีคนหนุนหลัง

หลังจากการล่มสลายของระบอบเขมรแดงในเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 ฮุน เซน ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 26 ปี ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ นับเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่อายุน้อยที่สุดในโลกในขณะนั้น ความใกล้ชิดกับรัฐบาลฮานอยของเวียดนามเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการครองอำนาจอันยาวนานของเขา

ช่วงแรกของการปกครองของฮุน เซนเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการใช้ความรุนแรง บาดแผลจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดงยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของชาวกัมพูชา โครงการ 'K5' ซึ่งเป็นการเกณฑ์แรงงานบังคับเพื่อสร้างแนวป้องกันชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โครงการนี้คร่าชีวิตประชาชนนับพันคนจากโรคระบาดและกับระเบิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เด็ดขาดและไร้ซึ่งมนุษยธรรมในยุคแรกเริ่มของการปกครองของเขา

การเลือกตั้งที่จัดขึ้นโดยสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2536 ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดต่ออำนาจของฮุน เซน พรรคฟุนซินเปคของเจ้านโรดม สีหนุได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ฮุน เซนกลับปฏิเสธผลการเลือกตั้งและขู่ว่าจะแยก 7 จังหวัดออกจากประเทศ ภายใต้แรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ ในที่สุดเขายอมรับการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองคู่กับเจ้านโรดม รณฤทธิ์

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้เป็นเพียงการประวิงเวลา ก่อนที่ตัวตนที่แท้จริงของฮุน เซนจะปรากฏชัดขึ้นในอีก 4 ปีต่อมา

ในปี พ.ศ. 2540 ฮุน เซนได้ทำการรัฐประหารนองเลือด กองกำลังพิเศษของเขาสังหารนักการเมืองและทหารฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อย 41 คน เหตุการณ์นี้ทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวในปี พ.ศ. 2541 แม้จะมีการจัดการเลือกตั้งขึ้น แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นถูกประณามอย่างกว้างขวางว่าขาดความโปร่งใสและมีการโกงเลือกตั้งมากที่สุด ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของฮุน เซนในการรวบรวมและรักษาอำนาจไว้ในมือของตนแต่เพียงผู้เดียว

เศรษฐกิจเติบโตแลกกับเสรีภาพที่หายไป

หลังจากขึ้นครองตำแหน่งสูงสุดในปี พ.ศ. 2541 ฮุน เซนได้ริเริ่มนโยบายสำคัญที่เรียกว่า ‘เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า’ ซึ่งมุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่บอบช้ำจากสงครามและความขัดแย้ง นโยบายนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศสมาชิกอาเซียนในการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้กัมพูชาได้รับอานิสงส์จากการลงทุนและการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของกัมพูชาขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จาก 1.10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2528 เป็น 42.34 พันล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2566

อัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปีระหว่างปี พ.ศ. 2541-2562 ทำให้กัมพูชากลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก ความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน ซึ่งคิดเป็น 49.83% ของการลงทุนทั้งหมดในปี พ.ศ. 2567 ผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) การลงทุนเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรมของกัมพูชา

นอกจากนี้ ความสำเร็จทางเศรษฐกิจยังสะท้อนให้เห็นในการลดความยากจน ระหว่างปี พ.ศ. 2559-2566 ประชาชนกัมพูชาประมาณ 2.8 ล้านคนสามารถก้าวพ้นจากความยากจนได้ ทำให้อัตราความยากจนหลายมิติ (multidimensional poverty) ลดลงจาก 36.7% เหลือ 16.6% อุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 139.5% ในปี พ.ศ. 2566 แตะระดับ 5.43 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จทางเศรษฐกิจเหล่านี้มาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่ายทางการเมืองอย่างมหาศาล ในปี พ.ศ. 2560 ศาลสูงสุดของกัมพูชาได้สั่งยุบพรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักที่เคยได้รับคะแนนเสียงถึง 44% ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2556 ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 พรรคเพลิงเทียน (Candlelight) ก็ถูกตัดสิทธิ์จากการเลือกตั้งด้วยเหตุผลทางเทคนิค เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้พรรคการเมืองของฮุน เซนแทบจะผูกขาดอำนาจทางการเมืองในกัมพูชาอย่างสมบูรณ์ ทำให้เสรีภาพทางการเมืองและพื้นที่สำหรับฝ่ายค้านลดน้อยลงอย่างมาก

คอร์รัปชัน การละเมิดสิทธิมนุษยชน และราชวงศ์การเมือง

แม้จะมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ แต่กัมพูชายังคงเผชิญกับปัญหาการคอร์รัปชันและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ในปี พ.ศ. 2566 กัมพูชาอยู่ในอันดับที่ 158 จาก 180 ประเทศในดัชนีการรับรู้การคอร์รัปชันโลก (Corruption Perception Index) และได้รับคะแนนเพียง 24/100 ในดัชนีเสรีภาพโลกของ Freedom House การควบคุมสื่อมวลชนและการปราบปรามกลุ่มนักเคลื่อนไหวเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลใช้ในการรักษาอำนาจ

กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่โดดเด่นคือการขับไล่ชุมชนกว่า 10,000 ครอบครัวรอบนครวัดโดยไม่มีการชดเชยที่เพียงพอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 นอกจากนี้ การเสียชีวิตของนักเคลื่อนไหวด้านที่ดินในปี พ.ศ. 2555 และการคุกคามฝ่ายตรงข้ามจนต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ล้วนเป็นตัวอย่างของการใช้ความรุนแรงทางการเมืองเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่าง

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 ฮุน เซนได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้งที่ไม่มีคู่แข่ง และเสนอชื่อ ‘ฮุน มาเนต’ บุตรชายของเขาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ การสืบทอดอำนาจในลักษณะนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการสร้าง ‘ราชวงศ์การเมือง’

แม้ฮุน เซนจะก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เขายังคงกุมอำนาจเบ็ดเสร็จผ่านตำแหน่งประธานวุฒิสภา ซึ่งพรรค CPP ของเขาสามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 55 ที่นั่งจาก 58 ที่นั่งในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกปี พ.ศ. 2567  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการควบคุมทางการเมืองยังคงแข็งแกร่ง และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคฮุน มาเนตดูเหมือนจะเป็นการสานต่ออำนาจแบบเบ็ดเสร็จภายใต้ร่มธงใหม่ที่อ้างถึงการเปิดเสรีทางการเมือง

อาชญากรรมข้ามชาติและการลอบสังหารทางการเมือง

ภายใต้การปกครองของฮุน เซน และการส่งต่ออำนาจให้ฮุน มาเนต บุตรชาย รวมถึงเครือญาติใกล้ชิดหลายคน ต่างมีตำแหน่งและเครือข่ายผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกับการละเมิดกฎหมาย รายงานจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่ากัมพูชาได้กลายเป็นศูนย์กลางระดับโลกของอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะการฉ้อโกงออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและฝังรากลึกในหลายพื้นที่ของประเทศ รวมถึงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น เมืองปอยเปต ที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการของเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติ

เม็ดเงินจำนวนมากจากต่างประเทศได้หลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่เหล่านี้ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเป็นแหล่งซ่อนตัวและศูนย์บัญชาการของกลุ่มมิจฉาชีพที่มุ่งเป้าไปยังเหยื่อทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ขณะที่พื้นที่อื่นๆ เช่น กรุงพนมเปญ บาเวต และสีหนุวิลล์ ก็มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการหลอกลวงเช่นกัน ข้อมูลข่าวกรองยังชี้ว่าชนชั้นนำที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในกัมพูชาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอย่าง LYP Group ซึ่งถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรจากข้อกล่าวหาเรื่องการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานบังคับ และการฟอกเงิน

นอกจากนี้ หลานชายของอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ยังถูกเชื่อมโยงกับการฉ้อโกงออนไลน์ครั้งใหญ่ รวมถึงการยักยอกทรัพย์สินดิจิทัลมูลค่ากว่า 49,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจ Huione Group ที่ถูกกล่าวหาว่าทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมาย รายงานของ UNODC สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างอำนาจทางการเมือง ความสิ้นหวังทางเศรษฐกิจ และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งกำลังสร้างความท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศกัมพูชาอย่างรุนแรง

ในด้านการเมือง การจัดการคู่แข่งทางการเมืองหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับผู้นำกัมพูชาก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง สำนักข่าว Al Jazeera ได้เปิดเผยกรณีการลอบสังหาร ลิม คิมยา อดีต ส.ส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ที่ถูกยิงเสียชีวิตกลางวันแสกๆ ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2568 โดยมือปืนเป็นอดีตทหารไทยที่รับสารภาพว่าเป็น ‘มือปืนรับจ้าง’ ขณะที่ผู้ต้องสงสัยชาวกัมพูชาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ชี้เป้าและผู้จ้างวานได้หลบหนีเข้ากัมพูชาไปแล้ว

ลิม คิมยา เคยลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส ก่อนจะกลับมากัมพูชาเพื่อวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลฮุน เซนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตัวฮุน เซนและภรรยา ซึ่งทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง Al Jazeera ยังมีคลิปเสียงที่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าเป็นเสียงของฮุน เซน สั่งการให้ ‘จัดการ’ กับบุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะ ‘ตายหรือเป็น’ พร้อมภาพผู้ต้องสงสัยที่ถ่ายร่วมกับฮุน เซนและอดีตนายกรัฐมนตรีไทยด้วย ครอบครัวของลิม คิมยาในฝรั่งเศสได้เริ่มดำเนินการทางกฎหมาย และรัฐบาลฝรั่งเศสได้รับเรื่องแล้ว ทำให้คดีนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของรัฐบาลกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศได้

ความท้าทายล่าสุด

ในปี พ.ศ. 2568 กัมพูชาต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่จากความขัดแย้งชายแดนกับประเทศไทย เหตุการณ์ปะทะเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 บริเวณ "สามเหลี่ยมมรกต" ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต นำไปสู่การตอบโต้ทางเศรษฐกิจจากทั้งสองฝ่าย  จากนั้นก็กลายเป็นการโต้ตอบกันไปมา พร้อมกับการปล่อยคลิปเสียงการคุยระหว่าง ฮุน เซน และนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จนมีผลกระทบต่อเนื่องในช่วงนี้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์