อินเดียเปลี่ยนท่าทีรับมือภาษีศุลกากรจากทรัมป์ โดยมีสัญญาณว่าอินเดียเริ่มใช้วิธีการที่เข้มงวดขึ้นในการเจรจา ด้วยการประกาศว่าจะเก็บภาษีตอบโต้จากสินค้าสหรัฐฯ นับเป็นการตอบโต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ครั้งแรกของอินเดีย แม้ว่าการเจรจาการค้าของทั้งสองประเทศใกล้จะสำเร็จแล้วก็ตาม
สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างบุคคลที่ทราบเรื่องการเจรจาการค้าซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อว่า การเจรจาการค้าระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยคาดการณ์ว่าจะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในฤดูใบไม้ร่วงนี้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าอินเดียจะบรรลุข้อตกลงชั่วคราวภายในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่ภาษีตอบโต้ของทรัมป์มีผลบังคับใช้ ได้หรือไม่
วันจันทร์ที่ผ่านมา (12 พฤษภาคม) อินเดียขู่ว่าจะเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้สหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ที่ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของอินเดีย ถือเป็นครั้งแรกที่อินเดียตอบโต้สหรัฐฯ ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ทั้งที่เมื่อเดือนที่แล้วอินเดียยังส่งสัญญาณว่าจะไม่ตอบโต้การเก็บภาษีของทรัมป์ แต่จะเน้นไปที่การเจรจรามากกว่า ทั้งยังยกเครื่องภาษีศุลกากร ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมกว่า 8,500 ชิ้น รวมทั้งสินค้าสหรัฐฯ อย่างเบอร์เบิน วิสกี และรถจักรยานยนต์ที่ผลิตโดยบริษัท Harley-Davidson
Bloomberg ระบุว่า การเคลื่อนไหวของอินเดียครั้งล่าสุดนี้อาจเป็นกลยุทธ์ในการเจรจา เนื่องจากอินเดียเตรียมจะส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ในวันเสาร์นี้
Bloomberg ระบุอีกว่า นี่เป็นการปรับท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นจากอินเดียนับตั้งแต่ต้นปี เมื่อนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจทำเนียบขาว โดยยื่นข้อเสนอต่างๆ ตั้งแต่การค้าจนถึงผู้อพยพ และยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อินเดียไม่พอใจที่ทรัมป์ยืนยันว่าเขาใช้การค้าเป็นเครื่องมือต่อรองให้เกิดการสงบศึกระหว่างอินเดียกับปากีสถาน
บิสวาจิต ธาร์ ศาสตราจารย์จากสถาบันวิจัย Council for Social Development ในนิวเดลีเผยว่า จนถึงตอนนี้สหรัฐฯ “กำหนดเงื่อนไขกับอินเดีย” ภาษีตอบโต้ที่เสนอไปเป็นสัญญาณแรกที่แสดงให้เห็นว่าอินเดียยินดีที่จะ “ยืนหยัดและเล่นเกมรุก”
ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีศุลกากรเหล็กและอะลูมิเนียมที่สหรัฐฯ นำเข้า 25% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม เดือนเมษายนอินเดียขอปรึกษากับสหรัฐฯ โดยบอกว่าการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เป็น “มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้า” หรือข้อจำกัดทางการค้า แต่สหรัฐฯ ปฏิเสธข้อเรียกร้องของอินเดีย โดยอ้างว่าภาษีศุลกากรดังกล่าวเป็นข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้า
แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าเหตุใดอินเดียจึงเลือกตอบโต้กลับในช่วงเวลานี้ แต่ความเคลื่อนไหวของอินเดียเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังสหรัฐฯ ตัดลดภาษีศุลกากรสินค้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งถูกมองว่าเป็นการพิสูจน์ทางยุทธศาสตร์ของ สีจิ้นผิง ผู้นำจีน ที่ยืนหยัดต่อต้านทรัมป์เรื่องภาษีศุลกากร
“การที่จีนทำให้สหรัฐฯ ทำข้อตกลงได้แสดงให้เห็นว่าอินเดียจะต้องยืนกรานในเรื่องนี้ให้หนักขึ้น อินเดียต้องแสดงความกล้าหาญ”
— บิสวาจิต ธาร์ ศาสตราจารย์จากสถาบันวิจัย Council for Social Development
Bloomberg ระบุว่า นักวิเคราะห์จะจับตาดูสัญญาณว่าอินเดียมีแผนที่จะคงจุดยืนที่แน่วแน่ของตัวเองไว้หรือไม่ตอนที่ ปิยุศ โกยาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของอินเดียเดินทางเยือนสหรัฐฯ เพื่อเจรจาการค้าระหว่างวันที่ 17-20 นี้
เจ้าหน้าที่หลายรายระบุว่า แผนการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้จากสินค้าสหรัฐฯ ของอินเดียจะเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจา
ปริยังกา คิชอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา Asia Decoded ในสิงคโปร์เผยว่า อินเดีย “รู้สึกมากขึ้น” ว่ารัฐบาล “ยอมให้สหรัฐฯ มากเกินไปในการเจรจาการค้า” อินเดีย “อาจใช้โอกาสนี้เพื่อยืนยันสถานะของตัวเองอีกครั้งในฐานะคู่ค้าที่เท่าเทียมกัน”
“ความเคลื่อนไหวของอินเดียสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นคือ ความมุ่งมั่นที่จะแสดงจุดยืนของตัวเองภายใต้กฎระเบียบการค้าโลกเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตัวเอง”
— อาเจย์ ศรีวาสถวา ผู้ก่อตั้งสถาบันคลังสมอง Global Trade Research Initiative
ทรัมป์ยืนยันหลายครั้งว่าตัวเองเป็นคนกลางการหยุดยิงระหว่างอินเดียกับปากีสถานอาจบดบังการเจรจาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเมื่อวันอังคาร (13 พฤษภาคม) ทรัมป์พูดอีกครั้งว่า เขา “ใช้การค้าเป็นเครื่องมือ” ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถาน แม้ว่าอินเดียจะเผยก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงว่า การค้าไม่เคยถูกกล่าวถึงในการเจรจาหยุดยิงก็ตาม
ทรัมป์ “ล้ำเส้น” ธาร์เผย “คุณไม่สามารถดีลกับคนอเมริกันถ้าคุณเสียเปรียบ”
Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP