แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ประชุมหารือผู้บริหารกระทรวง โดยนายกฯกล่าวช่วงต้นการประชุมว่า ขอบคุณทุกท่านที่ตั้งแต่เช้าต้อนรับกันอย่างอบอุ่น วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกมีข้อที่อยากจะฝากไว้ให้ช่วยกันผลักดัน รวมถึงหลายๆ ข้อที่จะอัพเดทให้ฟัง ซึ่งส่วนตัวทำการบ้านมาและดีใจที่ได้ฟังทุกท่านว่า แต่ละหน่วย แต่ละฝ่าย ทำอะไรกันอยู่บ้าง และในกระทรวงนี้ อยากให้ผลักดันอะไรเพิ่มเติมบ้าง

แพทองธาร กล่าวอีกว่า ข้อแรก ขอชี้แจงที่มีข่าวในออนไลน์มีการตีเรื่องการคืนวัตถุโบราณ 20 ชิ้นให้กับกัมพูชา ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ซึ่งเป็นเรื่องสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีการคืนวัตถุโบราณไปแล้ว 23 รายการ ในปี 2558 หลังจากตรวจสอบว่าเป็นของกัมพูชา จากจำนวน 43 ชิ้น ที่มีการลักลอบนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่ปี 2513 และวันที่ 21 พ.ค.2567 มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน เห็นชอบให้ส่งมอบวัตถุโบราณ 20 รายการ คืนให้กัมพูชาตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ หลังจากกรมศิลปากรและคณะผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า วัตถุโบราณดังกล่าวมีต้นกำเนิดในกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณของกรมศิลปากร ซึ่งได้รับรายงานว่างบประมาณในปีปัจจุบันไม่เพียงพอ และไม่ได้เป็นเรื่องด่วน จึงไม่สามารถของบกลางได้ อย่างไรก็ต้องขอทบทวนในเรื่องนี้อีกครั้ง อาจจะต้องส่งเรื่องเพื่อของบประมาณของกระทรวงและรายงานต่อ ครม. เพื่อทราบเป็นขั้นตอนต่อไปในการหาหน่วยงานมาหางบประมาณต่อไป ในการจัดส่งคืน แต่ที่สำคัญด้วยสถานการณ์ของไทยกับกัมพูชาตอนนี้ กระทรวงวัฒนธรรม จึงมีความเห็นให้ทบทวนเรื่องดังกล่าวตามความเหมาะสมต่อไป สรุปแล้วขอให้ทบทวนก่อน ส่วนเรื่องการตั้งงบฯค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง ส่วนที่เหลืออยู่ก็ยังไม่ส่งคืน

แพทองธาร กล่าวว่า เรื่องโบราณสถานในกลุ่มปราสาทตาเมือน (ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มอมเบย) ขอยืนยันว่า เป็นโบราณสถานที่อยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทยที่มีการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน พ.ศ. 2505 ในส่วนของพื้นที่ภาคอื่นๆได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศว่าจะเร่งดำเนินการในการรักษาไว้ ซึ่งดินแดนและอำนาจอธิปไตยของไทยเช่นกัน
“พอดีมีสื่อมวลชนอยู่ด้วยก็เป็นโอกาสที่ดี ชี้แจงในเรื่องการปล่อยข่าวของการปลุกปั่นต่างๆ ที่ทำให้เกิดผลเสียผลกระทบ ดิฉันก็ต้องดำเนินการในการแจ้งความกับผู้ที่ปล่อยข่าว ปกติแล้วคอมเมนต์ที่เป็นเรื่องของการว่ากล่าว ธรรมดาดิฉันเป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี เป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว อันนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ว่าการปล่อยข่าว ไม่ว่าจะเรื่องที่ว่าดิฉันส่งวัตถุไปแล้ว ซึ่งกระทรวงทราบอยู่แล้วว่า ไม่จริง เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ ต้องดำเนินคดีตามกฏหมายไป”
— แพทองธาร กล่าว
แพทองธาร กล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากทำตั้งแต่ทำซอฟต์พาวเวอร์คือเรื่อง Cash Rebate (เงินคืนสำหรับการถ่ายภาพยนตร์ในไทย) กลุ่มผู้ถ่ายทำภาพยนต์ในไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการจัดทำ Cash Rebate ให้กับต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยก็สนับสนุนไป 30% ของ Cash Rebate เพราะฉะนั้นอยากทำในเรื่องของคนไทยด้วย ที่คนไทยทำหนังกันเอง จึงอยากสนับสนุนหนังไทยให้ไปไกลมากกว่านี้ วันนี้จะมารับรู้รายละเอียดจากกระทรวงว่าเป็นอย่างไรบ้าง ติดขั้นตอนไหนบ้าง และมีเรื่องอะไรที่ควรจะสนับสนุนต่อเนื่อง ก็อยากจะส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของไทยโดยเฉพาะหนังไทยให้ไปไกลมากยิ่งขึ้น เพราะเรามีหนังไทยที่ดีแล้วสามารถโฆษณาแฝงของต่างๆ ผลิตภัณฑ์ และวัฒนธรรมเข้าไปในหนัง ก็จะเป็นรูปแบบซอฟต์พาวเวอร์ที่นำเรื่องดีๆ ของไทยออกสู่สายตาชาวโลกได้อย่างง่ายขึ้น

แพทองธาร กล่าวว่า เรื่องต่อไปเป็นอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ที่ริเริ่มมานานก็อยากจะควิกวินใน 4 อุตสาหกรรมหลัก 1. ภาพยนตร์ 2. อาหาร 3. มวยไทย และ 4.ธุรกิจการดูแลสุขภาพ ซึ่ง 4 อุตสาหกรรมนี้สามารถยกระดับศักยภาพ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและและสร้างงานไปด้วยได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่องเที่ยว ที่พักโรงแรมต่างๆ ก็สามารถผูกกันเข้ามาได้ด้วย อันไหนที่เชื่อมโยงกับกระทรวงวัฒนธรรมได้ก็ยินดีสนับสนุนและส่งเสริม ทั้งเอกชนและภาครัฐ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เจอทุกท่าน วันนี้เราจะมาลงในเรื่องการทำงานกัน อยากจะเห็นผลงานเป็นรูปธรรมโดยเร็ว