การเปลี่ยนแปลงของกองกำลังในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอิหร่านได้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านขีปนาวุธที่น่าเกรงขามที่สุดในภูมิภาค ข้อมูลล่าสุดจากหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ระบุว่า อิหร่านครอบครองขีปนาวุธมากกว่า 3,000 ลูก ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในตะวันออกกลาง
กองกำลังติดอาวุธของอิหร่านประกอบด้วยทหารประจำการ 610,000 นาย และทหารสำรอง 350,000 นาย รวมทั้งหมด 960,000 นาย เมื่อระดมกำลังเต็มที่
โครงสร้างทางทหารแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ กองทัพปกติ (Artesh) และกองกำลังผู้พิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ซึ่งดูแลการทำสงครามตัวแทน และการพัฒนาขีปนาวุธ
ขีปนาวุธของอิหร่านมีอำนาจโจมตีที่น่าเกรงขามที่สุด
ระบบขีปนาวุธระยะสั้นของอิหร่านได้แก่ Fateh-110 (ระยะ 300 กิโลเมตร) และ Zolfaghar (ระยะ 700 กิโลเมตร) ที่สามารถโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในอ่าวเปอร์เซีย และศัตรูในภูมิภาคได้
ระบบขีปนาวุธระยะกลาง มี Sejjil-2 (ระยะ 2,000-2,500 กิโลเมตร) และ Khorramshahr (ระยะ 2,000 กิโลเมตร) ที่สามารถโจมตีอิสราเอลและยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ได้
ที่น่าสนใจที่สุดคือ มีการทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค Fattah-2 ระยะ 1,400 กิโลเมตร ซึ่งสามารถหลบหลีกระบบการสกัดกั้นได้
อิหร่านกลายเป็นผู้นำระดับโลกในการผลิตโดรน โดยส่งออกโดรน Shahed-136 ให้รัสเซียและกลุ่มตัวแทน โดรน Mohajer-6 ทำหน้าที่หลากหลาย ทั้งข่าวกรอง และการโจมตี ขณะที่ Shahed-149 มีระยะทำการ 2,000 กิโลเมตร และสามารถบรรทุกหัวรบได้ถึง 13 หัว
อิสราเอล เทคโนโลยีสูงสุดทั้งรุก และรับ
กองทัพอากาศอิสราเอล (IAF) ปฏิบัติการด้วยเครื่องบินรบสเตลธ์ F-35I ‘Adir’ จำนวน 36 ลำ ได้รับการปรับปรุงให้สามารถบรรทุกอาวุธภายนอกเครื่องสำหรับการโจมตีระยะไกลได้ และกองทัพอากาศอิสราเอลก็แสดงให้เห็นในปฏิบัติการ ‘Rising Lion’ โดยโจมตีเป้าหมายนิวเคลียร์ของอิหร่าน
เครือข่ายป้องกันทางอากาศของอิสราเอลถือเป็นระบบที่ผ่านการทดสอบจากสนามรบมากที่สุดในโลก
ระบบ Iron Dome มีอัตราการสกัดกั้น 90% จรวดระยะสั้น ระบบ David's Sling ออกแบบมาสำหรับภัยคุกคามระยะกลาง (40-300 กิโลเมตร) รวมถึงขีปนาวุธแบบครูซ และระบบ Arrow-3 สำหรับสกัดกั้นขีปนาวุธนอกชั้นบรรยากาศ
ในระหว่างการโจมตีด้วยโดรนของอิหร่านในวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา กองทัพป้องกันประเทศอิสราเอลสกัดกั้นโดรน Shahed-136 ได้มากกว่า 180 ลำ
สงครามเงา : สู่สงครามจริง
วันที่ 13 มิถุนายน 2025 อิสราเอลเปิดการปฏิบัติการ ‘Rising Lion’ โดยโจมตีเป้าหมายสำคัญของอิหร่าน ได้แก่โรงเสริมสมรรถนะยูเรเนียม Natanz, สำนักงานใหญ่ IRGC และโรงงานผลิตขีปนาวุธ การโจมตีตอบโต้ด้วยโดรนของอิหร่านถูกสกัดกั้นเป็นส่วนใหญ่ แต่การเผชิญหน้ากันครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนจากสงครามที่เดิม ใช้สงครามตัวแทนสู่การเผชิหน้ากันโดยตรงระหว่างรัฐกับรัฐ
กลยุทธ์การป้องกันล่วงหน้าของ IRGC ใช้กลุ่มตัวแทนที่เข้มแข็งอย่าง เฮซบอลลาห์ แต่ช่วงหลังถูกสกัดกั้น และจู่โจมจากอิสราเอล การลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิยะ ผู้นำฮามาส ในเตหะรานเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ทำให้อิสราเอลเห็นจุดอ่อนในระบบการป้องกันของอิหร่าน
งบประมาณทหารของอิหร่าน (7,900 ล้านดอลลาร์ในปี 2024) น้อยกว่างบประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์ของอิสราเอล การคว่ำบาตรอิหร่าน ทำให้การจัดสรรงบประมาณถูกจำกัดไปด้วย
ในขณะที่อิสราเอลสามารถจัดสรรงบประมาณได้เต็มที่กว่า เช่นการใช้งบประมาณ 780 ล้านดอลลาร์ซื้อเรือรบคลาส Reshef เพื่อปรับยุทธศาสตร์ท้องทะเล จากภัยคุกคามของกลุ่มฮูษี ในเส้นทางการเดินเรือแถบทะเลแดง
ทั้งสองชาติปรับปรุงคลังแสงของตัวเอง ตะวันออกกลางกำลังเข้าใกล้ความขัดแย้งที่อาจเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างถาวร ใครจะเป็นคนจุดชนวนสงครามที่ไม่มีผู้ชนะ