จุดยืนและท่าทีทั่วโลก เลือกข้างใคร‘อิสราเอล-อิหร่าน’

14 มิ.ย. 2568 - 03:08

  • อิสราเอลโจมตีอิหร่านในปฏิบัติการสิงโตผงาด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 78 ราย

  • สหรัฐฯ สนับสนุนสิทธิป้องกันตัวของอิสราเอล ขณะที่ยุโรปแสดงท่าทีแตกแยก

  • ราคาน้ำมันพุ่งสูง 8% ท่ามกลางความกังวลเรื่องเสถียรภาพพลังงานโลก

จุดยืนและท่าทีทั่วโลก เลือกข้างใคร‘อิสราเอล-อิหร่าน’

วันที่ 13 มิถุนายน 2025 จะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ตะวันออกกลาง  เป็นวันที่ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านขึ้นสู่จุดสูงสุดครั้งใหม่ เมื่อการโจมตีทางอากาศภายใต้ชื่อ ‘ปฏิบัติการสิงโตผงาด’ ของอิสราเอลถล่มเป้าหมายนิวเคลียร์ และผู้นำทางทหารของอิหร่าน ก่อนที่อิหร่านจะตอบโต้ด้วยการปล่อยโดรนและขีปนาวุธกว่า 150 ลูก   ผลของการปะทะครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตในอิหร่านกว่า 78 ราย และผู้บาดเจ็บในอิสราเอล 63 ราย พร้อมกับการทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของทั้งสองฝ่าย

ท่าทีของแต่ละประเทศทั่วโลก แสดงจุดยืน และท่าทีอย่างไรบ้างกับชนวนก่อสงครามครั้งใหม่นี้

ทรัมป์ ผู้เลือกข้างชัดเจน

ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่สั่นสะเทือนตะวันออกกลาง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ กลับใช้โอกาสนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีของอิสราเอล แต่ยืนยันถึงสิทธิในการป้องกันตัวของพันธมิตร พร้อมกับเตือนอิหร่านไม่ให้แตะต้องผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ด้วย

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ทรัมป์ใช้วิกฤตนี้กดดันให้อิหร่านกลับสู่โต๊ะเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ ด้วยข้อความที่ว่า ‘นี่คือโอกาสที่สอง’ อย่างไรก็ตาม แนวร่วมการเมืองภายในประเทศไม่ได้เห็นด้วย สมาชิกสภาคองเกรสจากพรรคเดโมแครตหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของอิสราเอลว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ เอง

ยุโรปแตกแยก ใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู

ยุโรปมีความแตกต่างทางการเมืองอย่างชัดเจนในครั้งนี้

เยอรมนีและฝรั่งเศสเลือกที่จะยืนหยัดสนับสนุนสิทธิในการป้องกันตัวของอิสราเอล พร้อมกับการประณามโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาค

ไอร์แลนด์และกลุ่มประเทศนอร์ดิกเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติความรุนแรงทันที โดยไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

ตุรกีแสดงจุดยืนที่รุนแรงที่สุด ด้วยการประณามอิสราเอลอย่างเปิดเผย โดยระบุว่าการโจมตีครั้งนี้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและบ่อนทำลายเสถียรภาพในตะวันออกกลาง

อาหรับเล่นเกมสองหน้า  

จุดที่น่าสนใจที่สุดคือท่าทีของประเทศอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับ    เอมิเรตส์ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีของอิสราเอลอย่างเป็นทางการ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาทางการทูต

แต่รายงานจากสื่อตะวันตกเผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก กลุ่มประเทศอ่าวอาหรับบางส่วนให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างลับๆ เนื่องจากความกังวลร่วมกันเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน การเล่นเกมการเมืองแบบสองหน้าเช่นนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่ไม่สามารถประเมินเพียงด้านเดียวได้

ฮิซบุลเลาะห์-ฮูษีเตรียมรบ

ฝั่งอิหร่านไม่ได้นิ่งเฉย ผู้นำสูงสุด อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ประกาศอย่างร้อนแรงว่าอิสราเอลจะต้อง ‘ได้รับบทเรียนที่เจ็บปวด’ พร้อมสั่งระดมกำลังพลและอาวุธเพื่อตอบโต้การโจมตี

สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่กลุ่มผู้สนับสนุนอิหร่านทั้งฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอน และกองกำลังฮูษีในเยเมนประกาศเตรียมพร้อมเข้าร่วมปฏิบัติการ

การขยายตัวของความขัดแย้งไปสู่หลายประเทศในภูมิภาคอาจทำให้สถานการณ์ลุกลามไปสู่สงครามขนาดใหญ่ที่ไม่อาจควบคุมได้

จีน - รัสเซีย สงบดูเหตุการณ์

รัสเซียและจีนแสดงท่าทีที่ระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยทั้งสองประเทศพยายามรักษาสมดุลระหว่างการไม่โจมตีอิหร่านโดยตรงกับการไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง โฆษกเครมลิน Dmitry Peskov กล่าวว่า ‘ไม่มีทางออกทางทหารสำหรับปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน’

จีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาอธิปไตยของอิหร่าน แต่หลีกเลี่ยงการสนับสนุนอย่างเปิดเผย เนื่องจากไม่ต้องการให้ความขัดแย้งส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนในตะวันออกกลาง การเดินเกมการเมืองแบบนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการทำนายการเคลื่อนไหวของมหาอำนาจในอนาคต

ญี่ปุ่นกังวลวิกฤตน้ำมัน

ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่ออกมาประณามการโจมตีของอิสราเอลอย่างชัดเจน รัฐมนตรีต่างประเทศ Takeshi Iwaya ระบุว่าการใช้กำลังทหารในช่วงที่มีการเจรจาทางการทูตเป็นสิ่งที่ ‘ยอมรับไม่ได้’ข้อกังวลหลักของญี่ปุ่นคือผลกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดน้ำมันซึ่งญี่ปุ่นต้องพึ่งพากว่า 90% การพุ่งสูงของราคาน้ำมันดิบ 8% ในวันแรกของการปะทะทำให้ญี่ปุ่นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงขึ้น

สหประชาชาติร้องขอหยุดก่อนสายเสีย

António Guterres เลขาธิการสหประชาชาติ ออกมาเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย แสดงความยับยั้งชั่งใจสูงสุด และเตือนว่าการปะทะกันอาจนำไปสู่หายนะด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ

คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติจัดการประชุมฉุกเฉินในวันเดียวกันกับการโจมตี โดยอิหร่านยื่นหนังสือร้องเรียนให้ลงโทษอิสราเอลฐานละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ การเคลื่อนไหวของสหประชาชาติในครั้งนี้จะเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของกลไกระหว่างประเทศในการจัดการวิกฤตร้ายแรง

เศรษฐกิจโลกหวั่นไหว

สหภาพแอฟริกาออกแถลงการณ์แสดงความกังวลว่าความขัดแย้งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลาง

กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาส่วนใหญ่เรียกร้องให้มีการเจรจาโดยเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น

ธนาคารโลกประเมินว่าหากความขัดแย้งยืดเยื้อ อิหร่านอาจสูญเสีย GDP เกิน 10% และเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อกว่า 60% จากการกดดันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญจาก Chatham House ชี้ว่า แม้อิสราเอลมีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนขีดความสามารถทางนิวเคลียร์ของอิหร่านในระยะยาว แต่การโจมตีแบบเจาะจงที่มุ่งเป้าไปที่ผู้นำทหารและนักวิทยาศาสตร์  อาจส่งผลย้อนกลับอาจทำให้อิหร่านเร่งพัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านและเพิ่มการรักษาความปลอดภัยของโครงการนิวเคลียร์มากขึ้น

หากการโจมตีของอิสราเอลไม่สามารถหยุดยั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่กลับทำให้อิหร่านมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น การกระทำครั้งนี้อาจจะกลายเป็นการเผชิญหน้าที่นำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ครั้งแรกของโลกหรือไม่?

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์