ช่วงเช้าของวันที่ 13 มิถุนายน 2568 อิสราเอลได้เปิดฉาก ‘ปฏิบัติการ Rising Lion’ ซึ่งเป็นการโจมตีทางทหารขนาดใหญ่เพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ ฐานทัพ และผู้นำระดับสูงของอิหร่าน การโจมตีครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนตันยาฮู อธิบายว่าเป็นปฏิบัติการทางทหารที่มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อยุติภัยคุกคามของอิหร่านต่อความอยู่รอดของอิสราเอล ทำให้สงครามที่ดำเนินมายาวนานระหว่างทั้งสองประเทศปะทุขึ้นอีก
ผลที่ตามมาทันทีคือราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 12% การประณามจากนานาประเทศพร้อมเรียกร้องให้ยับยั้งชั่งใจ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดสงครามต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแค่เป็นการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในตะวันออกกลาง แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและความมั่นคงด้านพลังงานอีกด้วย
การโจมตีสถานที่พัฒนานิวเคลียร์
ปฏิบัติการ Rising Lion ทำการโจมตีทางอากาศหลายสิบครั้งทั่วอิหร่าน โดยมุ่งเป้าไปที่สถานที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ในเมือง นาตันซ์ คอนดับ และคอร์รามาบาด ที่ถูกใช้เป็นสถานที่เสริมสมรรถนะพัฒนายูเรเนียมในระดับ 60% ใกล้เคียงกับที่ใช้ในอาวุธนิวเคลียร์ องค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ยืนยันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงงานนาตันซ์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของรังสี
นอกจากโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์แล้ว อิสราเอลยังเจาะจงโจมตีหน่วยยามปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน (IRGC) จนสามารถสังหารผู้บัญชาการ นายพลโฮเซน ซาลามี และหัวหน้าเสนาธิการโมฮัมหมัด เมห์ดี บาเกรี รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชั้นนำอย่างเฟเรย์ดุน อับบาซี และโมฮัมหมัด เมห์ดี เตหรานชี การโจมตีเหล่านี้มุ่งหวังทำลายโครงสร้างการบัญชาการทางทหารของอิหร่านและการพัฒนาด้านนิวเคลียร์
อิหร่านเตรียมเอาคืน
ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อายาตุลลาห์ อาลี คาเมเนอี สาบานว่าจะมีการลงโทษอย่างรุนแรง โดยอ้างถึงมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติเพื่อให้เหตุผลสำหรับมาตรการตอบโต้ แม้ว่าในอดีตเตหะรานจะพึ่งพากลุ่มตัวแทนอย่างเฮซบอลลาห์เป็นหลัก แต่การสูญเสียบุคคลสำคัญใน IRGC และนักวิทยาศาสตร์ทำให้ความสามารถในการตอบโต้ทันทีลดลง
นักวิเคราะห์คาดว่าอิหร่านอาจเพิ่มการโจมตีฐานทัพสหรัฐในภูมิภาค หรือรบกวนและอาจปิดการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ที่เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันโลกกว่า 21%
สหรัฐฯ แสดงจุดยืนชัดเจนในการรักษาระยะห่างจากปฏิบัติการนี้ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ กล่าวว่า เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการโจมตีอิหร่าน แต่รัฐบาลทรัมป์ได้อนุญาตให้อพยพเจ้าหน้าที่ที่ไม่จำเป็นออกจากสถานทูตในตะวันออกกลาง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์การโต้กลับจากอิหร่าน
จุดยืนที่คลุมเครือของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกร้องให้อิหร่านกลับมาสู่โต๊ะเจรจา ขณะเดียวกันเตือนไม่ให้โจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐ
ตุรกีประณามการโจมตีว่าเป็นการนำภูมิภาคไปสู่จุดเริ่มต้นของสงครามที่ขยายวงขึ้น ขณะที่ซาอุดีอาระเบียและมาเลเซียวิพากษ์วิจารณ์การละเมิดอธิปไตย สันนิบาตอาหรับต่ออายุการเรียกร้องให้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิสราเอล
จีนและรัสเซียหลีกเลี่ยงการประณามโดยตรง โดยจีนเน้นถึงความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับอิหร่าน รวมถึงการส่งมอบส่วนประกอบขีปนาวุธล่าสุด ส่วนรัสเซียแม้จะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของอิสราเอล แต่ให้ความสำคัญกับการปกป้องทรัพย์สินทางทหารในซีเรียและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง
ล่าสุดกองทัพอิสราเอลได้ออกมาเปิดเผยว่าอิหร่านได้ปล่อยโดรนติดอาวุธมากกว่า 100 ลำเข้าไปในดินแดนของอิสราเอล เพื่อตอบโต้อิสราเอลโดยตรง เป็นครั้งแรกต่อปฏิบัติการ 'Rising Lion' ของอิสราเอล และระบุว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศทั่วประเทศเปิดใช้งานแล้ว และเตรียมพร้อมที่รับมือกับภัยคุกคามที่กำลังเข้ามา
เศรษฐกิจ-พลังงานผันผวน
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับ 77.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหลังการโจมตี เพิ่มขึ้น 12.2% จากความกลัวการตอบโต้ของอิหร่านต่อโครงสร้างพื้นฐานในอ่าวเปอร์เซีย นักวิเคราะห์เตือนว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซ อาจรบกวนการส่งออกน้ำมัน 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก่อให้เกิดวิกฤตพลังงานโลก
เบี้ยประกันภัยสำหรับเรือบรรทุกน้ำมันที่ผ่านภูมิภาคเพิ่มขึ้นแล้ว โดยการคุ้มครองความเสี่ยงสงครามมีค่าถึง 185,000 ดอลลาร์ต่อการเดินทาง ความไม่แน่นอนนี้ไม่เพียงกระทบต่อราคาพลังงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลกในวงกว้าง
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น 1.05% เนื่องจากนักลงทุนแสวงหาความมั่นคง ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐลดลงสู่จุดต่ำสุดในปี 2025 ตลาดหุ้นในเอเชียและยุโรปปรับตัวลง โดยสายการบินและอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเข้มข้นได้รับผลกระทบมากที่สุด