ผู้นำญี่ปุ่นและผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูวิจารณ์การเปรียบเทียบการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านของสหรัฐฯ กับการโจมตีเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าคำพูดของทรัมป์ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและไม่ใส่ใจต่อประวัติศาสตร์
ระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (26 มิ.ย.) ชิโร ซูซูกิ นายกเทศมนตรีเมืองนางาซากิประณามการแสดงความคิดเห็นของทรัมป์ว่า การใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นเรื่องที่ “ไม่สามารถยอมรับได้” ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม ซึ่งเป็นบทเรียนที่ควรจะเห็นได้ชัดจากความสูญเสียอันเลวร้ายจากการทิ้งระเบิดเมืองนางาซากิโดยสหรัฐฯ ในวันที่ 9 สิงหาคม 1945
การระเบิดครั้งแรกของระเบิดพลูโตเนียม “Fat Man” คร่าชีวิตผู้คนมากถึง 80,000 คนในเมืองนางาซากิ ขณะที่อีกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตก่อนสิ้นปี 1945 จากพิษของกัมมันตรังสี
ซูซูกิเผยว่า เขาไม่เข้าใจว่าทรัมป์หมายความว่าอย่างไร หากกล่าวเพื่ออ้างความชอบธรรมในการโจมตีญี่ปุ่นด้วยระเบิดนิวเคลียร์ นางาซากิและคนนางาซากิคงต้อง “แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง”
คำพูดของทรัมป์ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับ มาร์ก รุตเตอร์ เลขาธิการองค์การนาโตที่กรุงเฮกเมื่อวันพุธ (25 มิ.ย.) ทำให้เกิดความสับสนและเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากความคลุมเครือ
ทรัมป์บอกว่า “ความเสียหายต่อโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้นร้ายแรงมาก การโจมตีครั้งนั้นทำให้สงครามยุติ ผมไม่ต้องการใช้ฮิโรชิมาเป็นตัวอย่าง ผมไม่ต้องการใช้นางาซากิเป็นตัวอย่าง แต่โดยพื้นฐานแล้วมันเหมือนกัน มันยุติสงคราม”
และในการแถลงข่าวอีกครั้งในวันเดียวกันนั้น ทรัมป์เอ่ยถึงระเบิดปรมาณูอีกครั้งว่า “คุณดูฮิโรชิมาและนางาซากิ คุณจะเห็นว่ามันทำให้สงครามยุติ มันทำให้สงครามยุติด้วยวิธีที่ต่างกัน”
ฝ่ายสงเสริมสันติภาพของศาลาว่าการเมืองนางาซากิเผยว่า องค์การ Mayors for Peace ส่งหนังสืออุทธรณ์ร่วมไปยัง 193 ประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติและ อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ
แม้แถลงการณ์ดังกล่าวจะไม่ได้เอ่ยชื่อผู้นำสหรัฐฯ โดยตรง แต่ข้อความที่ระบุชัดเจนมากว่า “ในโอกาสครบรอบ 80 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการใช้ระเบิดปรมาณูครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมืองนางาซากิและประชาชนชาวนางาซากิยังคงได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางทหารแม้ว่าจะมีความพยายามทางการทูตเพื่อให้บรรลุข้อตกลงความขัดแย้งโดยสันติ”
แถลงกาณณ์ระบุต่อว่า “การใช้กำลังทหารต่อประเทศใดก็ตาม ที่ส่งผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิต เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง ผู้กำหนดนโยบายทั้งหลายจะต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการรับฟังเสียงของประชาคมอย่างจริงใจ และแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการทางการทูตที่สมเหตุสมผลและสันติ ไม่ใช่ด้วยความรุนแรง”
นอกจากนายกเทศมนตรีเมืองนางาซากิแล้ว คาซูมิ มัตสุอิ นายกเทศมนตรีเมืองฮิโรชิมาก็ลงนามในอุทธรณ์ดังกล่าวด้วย โดยสมาชิกสภาเมืองฮิโรชิมาลงคะแนนเป็นเอกฉันท์ยอมรับมติที่เรียกร้องให้แก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และว่า เมืองฮิโรชิมาและชาวเมืองไม่สามารถยอมรับความคิดเห็นที่อาจตีความได้ว่าเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ทั้งยังย้ำข้อเรียกร้องให้ยุติอาวุธนิวเคลียร์
จากการประมาณการณ์ ผู้คนที่เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดเมืองฮิโรชิมาเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 1945 ความทั้งจากผลกระทบที่ตามมาอยู่ที่ราว 90,000-166,000 คน
รัฐบาลญี่ปุ่นก็ออกแถลงการณ์เช่นกัน แม้ว่าจะพยายามใช้คำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งกับทรัมป์
โยชิมาสะ ฮายาชิ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่า การโจมตี 2 เมืองของญี่ปุ่นเมื่อเกือบ 80 ปีก่อน “คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากและสร้างความสูญเสียที่ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้”
ฮายาชิเผยว่า การใช้อาวุธนิวเคลียร์ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมนุษยธรรม และเมื่อถูกถามว่าญี่ปุ่นได้ประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังสหรัฐฯ หรือไม่ ฮายาชิตอบว่า รัฐบาลญี่ปุ่นชุดต่อๆ มาได้แสดง “แนวคิดพื้นฐาน” ต่อสหรัฐฯ เกี่ยวกับการทิ้งระเบิดปรมาณูหลายครั้งในอดีต
แต่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นของทรัมป์อย่างเปิดเผยที่สุดคือ ผู้ที่รอดชีวิตจากการทิ้งระเบิด
ฮิโรชิ นิชิโอกะ วัย 93 ปีเผยกับสำนักข่าว NHK ของญี่ปุ่นว่า “สิ่งที่เรากลัวมากที่สุดคือการยอมรับการใช้ระเบิดปรมาณู เราต้องส่งเสียงของเราด้วยการบอกว่า ‘มันไม่ควรถูกนำมาใช้’”
โทชิยูกิ มิมากิ ประธานกลุ่มผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู Nihon Hidankyo เผยว่า “ผู้ที่รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูโกรธมาก ผมได้แต่สงสัยว่าเหตุใดคำพูดเช่นนี้ถึงออกมาจากผู้นำสหรัฐฯ สำหรับพวกเราที่ต้องสูญเสียและต้องเดินหน้าสู่การฟื้นฟูท่ามกลางซากปรักหักพังที่ถูกเผาไหม้ นี่คือคำกล่าวที่ไม่สามารถยอมรับได้”
Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP, Wikipedia / public domain