‘จตุพร’ ยัน นี่คือการปกป้องประเทศ ไม่ใช่เรียกร้องรัฐประหาร

7 มิ.ย. 2568 - 06:59

  • ‘จตุพร’ ยันไม่ได้เรียกร้อง เพราะกระหาย ‘สงคราม-รัฐประหาร’ แต่คนที่เรียกรัฐประหารคือ ‘นายกฯ ที่อ่อนแอ’

  • ลั่น ปัญหาทั้งหมดเกิดจาก ‘พ่อนายกฯ’

  • เตรียม บุกแพทยสภาแสดงจุดยืน ท้า ‘ทักษิณ’ ไปศาล 13 มิ.ย.นี้ เชื่อว่าไม่ไป แต่หากหนี ฟันธงไปทาง ‘กัมพูชา’ แน่

‘จตุพร’ ยัน นี่คือการปกป้องประเทศ ไม่ใช่เรียกร้องรัฐประหาร

จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนิติธร ล้ำเหลือ ทนายนกเขา นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมด้วย วิทยากรอื่นๆ ร่วมกันแถลงข่าวกิจกรรมในหัวข้อ ‘เมื่อประเทศไทยมีปัญหา ถึงเวลาของคนไทยทุกคน ที่ต้องมาร่วมกันทำวาระเพื่อชาติ’

 

จตุพร กล่าวว่า ขณะนี้มีสถานการณ์ที่ชี้ชะตาของประเทศอยู่ โดยเฉพาะกรณีไทย- กัมพูชา ซึ่งต้นเคยพูดว่า ถ้าไทยกับกัมพูชาจะมีปัญหากันได้นั้น จะต้องไม่ใช่วันที่ตระกูลชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ 2 ครอบครัวนี้สนิทกันมาก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีบ้านอยู่กรุงพนมเปญ ลูกของน้องสาวก็เป็นดองกับผู้แทนที่กัมพูชา โดยส่วนตัวก็รู้จัก สมเด็จฮุน เซนและ พล.อ.ฮุน มาเนต แต่พวกเราก็แยกแยะได้ ระหว่างการรู้จักส่วนตัว กับเรื่องผลประโยชน์ชาติ โดยเฉพาะเรื่องดินแดน

 

ดังนั้น การทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สะท้อนให้เห็นซึ่งความอ่อนแอมาโดยตลอด และเป็นการพูดในลักษณะที่เสียเปรียบ เมื่อทักษิณบอกว่าพูดคุยกันอย่างสนิทสนมกับสมเด็จฮุน เซน บอกว่า จะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามตะกร้อ ซึ่งไม่มีใครขำด้วย แม้บอกว่า จะทำให้พื้นที่เป็น No Man's Land ภูมิธรรม บอกว่า ไม่ใช่การรุกล้ำพื้นที่ ถ้าเป็น No Man's Land จริง ไม่มีใครมีสิทธิ์เข้า แต่การไป สารภาพยอมรับว่า ไม่มีการรุกล้ำพื้นที่นั้น กัมพูชาเขาต้องการแค่นี้ จึงลากไปศาลโลก และแม้ว่าไทยไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลก แต่การสร้างความชอบธรรมในกระบวนการอื่นๆ จากความอ่อนแอของนายกรัฐมนตรี ทั้งพูดไม่รู้เรื่อง ควบคุมตัวเองไม่ได้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์การเมืองที่สุ่มเสี่ยงจะต้องเสียดินแดน เพราะเราเป็นประเทศที่เสียดินแดนมากกว่าที่เหลืออยู่ และจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวอีกต่อไป

 

แต่การออกแถลงการณ์เรียงตามลำดับ ไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแรงของประเทศนี้ แม้กระทั่งภูมิธรรม ออกแถลงการณ์ เมื่อช่วงเวลา 7.00 น ก็ยังไม่ได้แสดงว่า ประเทศแข็งแรง จนกระทั่งผู้บัญชาการทหารบก ออกคำสั่งให้ กองกำลังบูรพา กองกำลังสุรนารีพิจารณาเปิด-ปิดด่าน ชายแดน และอีกไม่กี่วันข้างหน้า เชื่อว่า แม่ทัพภาคที่ 2 จะประกาศใช้กฎอัยการศึก ตามตะเข็บชายแดน

 


“การที่เราได้รัฐบาลที่มีความอ่อนแอ ในวันที่เราต้องการความเข้มแข็ง แน่นอนไม่มีใครกระหายสงคราม ตามที่มีการปลุกเรื่องการกระหายสงคราม แต่บทเรียนของเรา การเจรจาระหว่างรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของ 2 ชาติที่สระแก้วนั้น ที่นายกฯ บอกว่า ok ok แต่ท้ายที่สุดทางกัมพูชาปฏิเสธทุกข้อ แล้วเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ประเทศเขาได้นักรบปกครอง บ้านเมืองเราได้นักอะไรก็ไม่รู้ปกครอง จนกระทั่งปัจจุบัน ไม่มีความเท่าทัน ในการที่จะทำหน้าที่ปกป้องดินแดน”

จตุพร กล่าว

 

จตุพร ยังกล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ เชื่อว่าประชาชน คนกัมพูชาทำงานในไทย คนไทยที่ทำงานในกัมพูชา ขออย่าให้มีปัญหาซึ่งกันและกัน นี่เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับรัฐ กองทัพกับกองทัพและการออกมาเรียกร้องในเรื่องดินแดน ไม่ใช่การเรียกร้องรัฐประหาร ตามที่มีการปั่นกระแสกันอยู่ ถ้าคนไทยประเทศนี้เงียบ เพราะกลัวการทำรัฐประหาร เพื่อแลกกับการเสียดินแดนนั้น เป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้เลย

 

จตุพร ยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ จะมีการประกาศแสดงจุดยืน แต่เมื่อเรามองเห็นว่าปัญหาของชาติมาจากพ่อของนายกรัฐมนตรี วันที่ 11 มิถุนายนนี้ ก็จะเดินทางไปที่แพทยสภา ในเวลา 10.00 น. เพราะนี่จะเป็นเรื่องจุดเปลี่ยน เชื่อว่า เกิน 60 เสียงในแพทยสภา ที่จะยืนตามมติเดิม โต้กลับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่วนวันที่ 13 มิถุนายนนั้น ที่ศาลฎีกานัดพร้อมและไต่สวน

 

“ผมขอทายท้าทักษิณว่า ให้แสดงความกล้าหาญ ท่านพูดถึงผม ว่าผมนี่เข้าป่าไปแล้ว แต่ว่าท่านกล้าไปศาลหรือไม่ ที่พูดอวดดีตามที่ต่างๆนั้น ขอถามว่าจะไปที่ศาลฎีกาหรือไม่ ผมไม่ต้องการฟังเหตุผลว่า ป่วยอีกแล้ว ถ้าไปต้องไปในวันนั้น และถ้าศาลพิจารณาเสร็จในวันนั้นก็น้อมรับ คำสั่ง จึงจะได้เป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ไปเก่งตามงานวันเกิด หรือตามงานต่างๆ แต่งานที่ตัวเองจะต้องรับผิดชอบ ในฐานะที่เคยเป็นผู้นำประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 ครั้งนั้น ควรจะต้องใช้ความกล้าหาญ กล้าประกาศว่า หัวเด็ดตีนขาด ตายเป็นตาย คุกเป็นคุกเลยไหมว่า วันที่ 13 นี้ จะไปที่ศาลฎีกา”

จตุพร กล่าว

 

จตุพร ยังกล่าวต่อว่า ประเด็นสุดท้ายที่ทางกัมพูชานัดประชุม JBC ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งกัมพูชายืนยันว่า จะไม่เอา 4 เรื่องเข้าทางกัมพูชา เขาบอกเขาไปศาลโลกอย่างเดียว แต่ทางการไทยยังซื่ออยู่ ทั้งที่ไม่มีวาระนี้แล้ว ส่วนที่ภูมิธรรม อยากจะไป ก็คงต้องยอมให้ทางเขมรเขาไป


“หลักการในเรื่องการปักปันเขตแดน ตรงไหนตกลงกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ จะไม่มีใครมีสิทธิ์เข้าไป และตกลงกันว่า วันใดที่จุดนั้น มีความเจริญเท่าเทียมกัน ค่อยมาเจรจากันอีกครั้ง แต่ไม่ใช่มาขุดคูเรด ในเขตพื้นที่อ้างสิทธิ์กันได้ นั่นคือการรุกล้ำ และแสดงความเป็นเจ้าของ และหลังจากที่ภูมิธรรมไปเจรจารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองนายกฯ กัมพูชา เขากลับไปออกแถลงการณ์ ไม่ถอนกำลังและไม่ถอย ประเทศไทยก็ไม่มีมาตรการใดๆ เมื่อเขาครอบครองก็มีหลักการเดียว เหมือนกฎหมายปิดปากกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เราจะไปเสียโง่ซ้ำประเด็นเดิมๆ นี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นหั วใจหลักของเรื่อง ในประเทศไทยวันที่ 12-13 นั่นคือจะเปลี่ยนที่สำคัญ และถ้าคุณทักษิณให้ความร่วมมือก็ไปที่ศาลฎีกา ส่วนหลังจากไปใช้ชีวิตในเรือนจำ เชื่อว่าร้อยทั้งร้อย ไม่ไป”

จตุพร กล่าว

 

จตุพร กล่าวต่อว่า ในบ้านเมืองที่เกิดการเสียดินแดนเพราะทัศนคติของคนในชาติ เพราะฉะนั้นวันนี้เราในฐานะเป็นคนไทยที่มองเห็นว่าเศรษฐกิจก็พัง การเมืองก็พัง ขบวนการยุติธรรมก็พัง และจะเสียดินแดนอีกนั้น ดังนั้น จึงถึงเวลาที่คนไทยต้องทำหน้าที่


“ขอย้ำว่า นี่คือการปกป้องประเทศ ไม่ใช่การเรียกร้องรัฐประหาร การไม่รักชาติแล้วอ้างว่าคนที่เขารักชาติเรียกร้องรัฐประหารในแผ่นดินนี้ ถ้าจะมีใครเรียกร้องรัฐประหารนั้น ก็มีทางเดียว คือความอ่อนแอของตัวนายกรัฐมนตรี การ สทร.ทุกเรื่องของพ่อนายกฯ การไม่รู้จักหน้าที่ของรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั่นคือการเรียกรัฐประหารตัวจริง คนไทยมีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน เช่นเดียวกับทหารที่เขาต้องทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นอย่าไปโทษใครการทำหน้าที่ของรัฐบาล อ้างความสนิทสนม นี่นายกฯ พึ่งไปที่กัมพูชามา เราก็มีปัญหากับดินแดน ก่อนหน้านี้ไปจีนมา นักท่องเที่ยวจีนหายหมด ขอร้องอย่าไปที่ไหนอีก”

จตุพร กล่าว

จตุพร ยังกล่าวว่า ในภูมิภาคนี้ทางกัมพูชามีความมั่นคงภายในมากที่สุด หากไปทางฝั่งมาเลเซีย อันวาร์ ไม่ได้แข็งแรงแบบซีกกัมพูชา และวันที่ 13 มิ.ย. เชื่อได้ว่า ทักษิณไม่ไป อยากทายผิด อยากหน้าแตก แต่เชื่อว่าเขาไม่ไป ฉะนั้น ช่องทางตะเข็บไทยกัมพูชา มีช่องทางจำนวนมากที่จะออกไปได้ หากมีความปล่อยปละละเลย และที่ผ่านมาการออกนอกประเทศของทักษิณ แม้กระทั่งของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถ้าไม่ร่วมมือกันกับผู้มีอำนาจ ไม่มีวันที่จะออกได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกันสถานการณ์ขณะนี้ช่องทางธรรมชาติ กองกำลังบูรพา หรือสุรนารี ย่อมที่จะรู้กันเป็นอย่างดีว่า มีช่องไหนบ้าง ดังนั้น ก็ยังเห็นว่า ถ้าจะมีการออกนอกประเทศ ช่องทางเดียวเท่านั้นคือกัมพูชา


“แม้ว่าคนทั่วไปเรื่องสงคราม แต่ดูบริบทของคุณทักษิณ หรือคุณอิ๊งค์ จะเห็นว่าไม่มีอะไร ผมรู้จักซีกฝั่งนั้น ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ฝั่งเขาก็มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเขา ฝั่งเราก็มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเรา การรู้จักกับการเสียดินแดนเป็นเรื่องที่แลกกันไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ฝั่งเขารู้จักการแยกแยะ ฝั่งไทยไม่รู้จักการแยกแยะได้อย่างไร และเราจะมาตามใจผู้นำให้ไปทำหน้าที่อย่างนั้นก็ไม่ได้ ถ้าจะออกนอกประเทศ ถ้าเป็นทางบกหรือทางเรือ คิดมาทางซีกฝั่งกัมพูชา อันวาร์ทางมาเลเซียรับมือไม่ไหว”

จตุพร กล่าว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์