การ์ดน่าจะหลวมตั้งแต่แรก! ‘กัณวีร์’ แนะรัฐบาลวางแนวทางคุย ‘กัมพูชา’ ให้ชัดเจน

6 มิ.ย. 2568 - 05:07

  • ‘กัณวีร์’ แนะรัฐบาลวางโรดแมปคุย ‘กัมพูชา’ ให้ชัดเจน

  • บอกท่าทีตอบโต้ยังเบาไป แนะใช้ ‘ความสัมพันธ์การฑูต’ มากกว่า ‘ความสัมพันธ์ส่วนตัว’

  • ชี้ ‘เป็นไปได้’ หลังมีกระแสวิเคราะห์ ‘คดีทักษิณ’ ส่งผลไทยยังเงียบไม่กล้าตอบโต้

การ์ดน่าจะหลวมตั้งแต่แรก! ‘กัณวีร์’ แนะรัฐบาลวางแนวทางคุย ‘กัมพูชา’ ให้ชัดเจน

กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า “ตอนนี้ต้องดูการตอบสนองของทางกัมพูชา เพราะตอนแรกเรารับทราบว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการเจรจาในกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ แต่เขาก็เปลี่ยนใจเข้าร่วม แต่จะไม่พูดหรือหารือเรื่องข้อพิพาทตรงช่องบก เพราะสภาของเขาได้มีการตัดสินใจยื่นฟ้องศาลโลก จึงต้องรู้ว่าทางการไทยจะมีการเตรียมความพร้อมในการประชุม JBC จะไปพูดอะไรกับเขา และมีการเตรียมความพร้อมในเรื่อง 30 จุดที่เป็นกรณีข้อพิพาทชายแดนไทยมากน้อยแค่ไหน”


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกัมพูชาจะยอมอ่อนข้อให้ไทยหรือไม่ หลังการพูดคุย? กัณวีร์ กล่าวว่า “ถ้าดูการจัดการในฝ่ายบริหารและทางสภานิติบัญญัติค่อนข้างจะแรงพอสมควร ซึ่งครั้งนี้น่าแปลกใจ สำหรับผมที่ติดตามงานชายแดนมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่าครั้งนี้กัมพูชาให้ความสำคัญมากๆ เร่งรัดกระบวนการค่อนข้างจะรวดเร็ว แล้วไปถึงศาลโลกโดยทันที ทั้งที่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับไทย และใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ทำให้สถานการณ์ขึ้นจากระดับ 0 ไปถึง 80–90 ดังนั้นจึงมองว่าน่าจะมีประเด็นบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลกัมพูชาด้วย รวมไปถึงการเมืองภายใน หรืออาจจะใช้ประเด็นนี้เรียกร้องความนิยม”

“และอย่าลืมว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต คือ ผบ.ทบ. ในสมัยที่มีข้อพิพาทเขาพระวิหาร และเป็นคนนำยิงต่อสู้กับฝั่งไทย ตอนนี้เขาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อาจจะใช้ประเด็นนี้ดึงความสนใจการเมืองภายในกัมพูชา ดังนั้นประเทศไทยต้องวางจุดยืนให้ชัดเจนว่าเราจะยอมหรือไม่ หรือยอมได้แค่ไหน”

หากดูท่าทีของรัฐบาลไทย การตั้งการ์ดน่าจะหลวมตั้งแต่แรก แล้วถ้าเปรียบเทียบกับรัฐบาลฝั่งกัมพูชา ค่อนข้างจะเบากว่าเขาเยอะ แต่ในทางข้อมูล ผมมั่นใจว่ากระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) น่าจะมีข้อมูลเยอะอยู่แล้ว แต่การแสดงออกของฝ่ายบริหารค่อนข้างที่จะเบาๆ ทั้งที่น่าจะเข้มแข็งมากกว่านี้ รวมทั้งควรจะชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร และหลังจากการพูดคุยจะทำอย่างไรต่อไป ต้องเตรียมพร้อมให้เสร็จ เพราะเสร็จจาก JBC แล้วจะไปคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย–กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 16–20 มิ.ย.นี้ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีโรดแมปให้ชัด

ส่วนเมื่อถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ตระกูลชินวัตร’ กับ ‘สมเด็จฮุน เซน’ มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้หรือไม่? กัณวีร์ กล่าวว่า “ยอมรับว่าความสัมพันธ์ของระหว่างสองตระกูลนี้มีส่วนกับสถานการณ์แน่นอน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะต้องเริ่มจากโครงสร้างระบบความสัมพันธ์ทางด้านการทูตทั้ง 2 ประเทศ แต่ขณะนี้ที่เราเห็นกลายเป็นพีระมิดกลับหัว นำความสัมพันธ์ส่วนตัวของครอบครัวมาเป็นการนำ”


แม้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกชัดเจนว่ามีการพูดคุยกันเป็นประจำ แต่การพูดคุยกันเป็นประจำไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งทำให้สถานการณ์คลุมเครือมากยิ่งขึ้น และความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองครอบครัวอาจจะทำให้เราลืมความสัมพันธ์ในบริบทเชิงโครงสร้าง

กัณวีร์ กล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้มีหลายคนวิเคราะห์เรื่องของคดีความของคุณทักษิณ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ทำให้ท่าทีของรัฐบาลตอนนี้ดูเหมือนยอมเหลือเกิน ขณะที่ฝั่งกัมพูชาก็รุกเร้าตีกลองรบ แต่ฝั่งเราดูเงียบๆ จึงมีการประเมินกันไปต่างๆ นานา แต่ในมุมมองของผม มองเรื่องของความพร้อมในการพูดคุยของฝั่งไทยมากกว่าที่เรายังมีความพร้อมไม่เต็มร้อย ฝั่งกัมพูชารุกคืบเข้ามาแล้วในโซนโนแมนแลนด์ จุดยืนของไทยจะทำอย่างไรในการที่เขาเข้ามารุกคืบ แล้วจะทำอย่างไรให้ทหารกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ผมมองในประเด็นนี้มากกว่า”


ในการประเมินสถานการณ์ทางการเมือง ก็อาจจะมองว่า เป็นไปได้ที่คุณทักษิณกังวล ว่าถ้าเกิดทำอะไรออกไปแล้ว อาจจะทำให้ฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะ ‘ฮุน เซน – ฮุน มาเนต’ ไม่พอใจ อาจจะทำให้ไม่สามารถเดินข้ามไปฝั่งกัมพูชาได้ หากมีอะไรก็ตามเกิดขึ้น นี่เป็นการประเมินของนักวิเคราะห์ทางการเมืองไป ถามว่ามีความเป็นไปได้ไหม ก็อาจเป็นความเป็นไปได้ แต่จะร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ผมว่ายังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

เมื่อถามย้ำว่า ท่าทีรัฐบาลไม่ได้หมายถึงว่าเรายอมกัมพูชาใช่หรือไม่? กัณวีร์ กล่าวว่า “ดูจากท่าทีของรัฐบาลแล้ว ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขายอม นายกฯ ก็มาร้องเพลงชาติไทยเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ยอมทางฝั่งกัมพูชาอย่างแน่นอน แต่มันก็มีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมข้อมูลในการเจรจา”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์