รัชฎาวรรณ วัฒนสุข หนึ่งในพนักงานมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เล่าถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ภาคอีสานได้รับแรงสั่นสะเทือนในหลายจังหวัด แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่มีสถานที่สำคัญได้รับความเสียหาย แต่ทำให้หลายคนเกิดความตระหนักและสนใจต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งเห็นความสำคัญของการแจ้งเตือนภัยที่เป็นประโยชน์และอยากให้เกิดการพัฒนาถึงประชาชนทั่วไป

“ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเกิดแผ่นดินไหว แต่ละคนคิดว่าไม่สบาย บ้านหมุน และอาการวิงเวียน จนได้รับการแจ้งเตือนผ่านทางอีเมลของทางมหาวิทยาลัย เรื่องสถานการณ์แผ่นดินไหวภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ ซึ่งการแจ้งเตือนถือวารวดเร็ว ทำให้นักศึกษา และบุคลากรได้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง มีการเตรียมตัวรับมือที่ทันท่วงที”

ผศ.ดร.เด่นพงษ์ สุดภักดี รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษาและดิจิทัล มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะผู้ริเริ่มนำเทคโนโลยี KKU Intelsphere แพลตฟอร์มของมหาวิทยาลัย มาสร้างระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว กล่าวว่า ระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวในองค์กร หรือที่เรียกว่า KKU Emergency Alert ส่งข้อมูลผ่าน KKU Google Chat ทำให้นักศึกษา บุคลากรและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นกว่า 100,000 คนได้รับข้อมูลการแจ้งเตือนภัยพิบัติพร้อมกัน

“มหาวิทยาลัยมีแผนการบริหารการต่อเนื่องในสภาวะฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ กราดยิง หรือพายุ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ เหตุการณ์ฉุกเฉินนั้นๆ แต่เรื่องแผ่นดินไหวไม่ได้อยู่ในแผน เพราะประเมินแล้วว่าอีสานน่าจะไม่ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวรุนแรงจนต้องทำแผนรองรับ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ เห็นว่าแม้สถานการณ์แผ่นดินไหวจะไม่รุนแรง แต่ความตกใจ ความไม่เข้าใจของนักศึกษาและบุคลากรยังมีต้องนำมาวางแผนในการบริหารจัดการความรู้สึก เชื่อว่าเมื่อทุกคนรู้ข้อมูล ข้อเท็จจริงจะสบายใจ หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว 1 วัน จึงออกแบบโปรแกรมตั้งค่าการแจ้งเตือนพร้อมกับทดลองใช้ เพื่อให้บุคลากรสามารถนำข้อมูลไปตัดสินใจต่อสถานการณ์ได้ จึงนำ Google chat มาใช้แจ้งข่าวสารสื่อสารกับคนในองค์กร”


ผศ.ดร.เด่นพงษ์ ยังกล่าวถึงแนวคิดที่นำ Google Chat มาใช้ในการแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหว เนื่องจากนักศึกษาและบุคลากรมหาวิทยาลัยขอนแก่นใช้ Google Workspacc ทั้งมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีระบบ Google Chat ที่เหมาะสำหรับหน่วยงานหรือองค์กรที่มีระบบการนำผู้ใช้เข้าได้อัตโนมัติ เพราะเป็นระบบเฉพาะ มีเทคโนโลยีที่พร้อมส่งข้อมูลได้ทันที แต่หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินจนทำให้ระบบแจ้งเตือนที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตมีปัญหา ระบบล่ม หรือไม่มีไฟฟ้า ทางมหาวิทยาลัยวางแผนในการใช้เครื่องมือออฟไลน์เป็นมาตรการสุดท้าย เช่นการใช้รถมหาวิทยาลัยในการกระจายข่าวไปรอบมหาวิทยาลัย
"ข้อมูลการแจ้งเตือน ข้อมูลจาก U.S. Geological Survey หรือ USGS หน่วยงานวิจัยธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา จากนั้นตั้งค่าโปรแกรมการแจ้งเตือนเป็นอัตโนมัติ โดยโดยระบบจะทำการตรวจสอบข้อมูลทุก 1 นาที จากศูนย์กลางประเทศเมียนม่า ถึงมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ระยะทาง 1,500 กิโลเมตร กำหนดระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหว 5.0 แมกนิจูด หากตรวจสอบแล้วพบว่า เหตุการณ์อยู่ในค่าที่ตั้งไว้ ข้อความจะถูกส่งไปยังผู้รับทันที"


“แอพพลิเคชั่นไลน์ไม่เหมาะกับการใช้แจ้งเตือนภัย เนื่องจากมีการสื่อสารที่หลากหลาย ที่สำคัญระบบข้อมูลของมหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่บนไลน์ จึงไม่สามารถสื่อสารกับบุคลากรได้ทั้งหมดในคราวเดียว ขณะที่ Google Chat เหมาะสำหรับหน่วยงานหรือองค์กรที่มีระบบนำผู้ใช้เข้ามาอัตโนมัติ มีเทคโนโลยีที่พร้อมส่งข้อมูลได้ทันที ครอบคลุมทุกคนที่ใช้อีเมลของมหาวิทยาลัย หรือถ้ารัฐริเริ่มจะไปอยู่ที่แอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์ ก็สามารถนำมาใช้งานได้เช่นกัน
ในอนาคตจะนำมาวางแผนแจ้งเตือนภัยพิบัติอื่นด้วย เช่น น้ำท่วม หรืออุบัติเหตุรุนแรง ก็จะใช้ช่องทางเดียวกันในการสื่อสาร ที่สำคัญคือการบริหารจัดการในช่วงที่เกิดเหตุภัยพิบัติ ที่ต้องมีการแจ้งเตือน” ผศ.ดร.เด่น พงษ์ กล่าว


ผศ.ดร.เด่นพงษ์ ยังมองว่า ปัจจุบันระบบเทคโนโลยีของไทยมีให้เลือกใช้หลายรูปแบบแพลตฟอร์มที่ไม่ได้ใช้ เช่น เทเลแกรม, ซิกนอล คนไทยไม่ค่อยนิยม แต่โปรแกรมเหล่านี้ออนบอร์ดง่าย ใช้ง่ายก็จะเป็นประโยชน์ หรือถ้ารัฐทำจะอยู่ที่แอพเป๋าตัง หรือแอพเฉพาะอย่างอื่นก็สามารถทำได้ แต่สำหรับองค์กร เพื่อไม่ให้พึ่งพารัฐจนเกินไป รัฐต้องส่งข้อมูลให้องค์กรต่างๆ เพื่อให้เกิดการสื่อสารต่อ แต่ข้อมูลต้องมาจากแหล่งเดียวกันคือรัฐเป็นคนกำหนด
สำหรับการแจ้งเตือนภัยในระดับประเทศยังคงต้องดำเนินการนำระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่ส่งข้อความเตือนตรงถึงหน้าจอมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เกิดเหตุ ผ่านเสาสัญญาณมือถือ หรือ Cell Broadcast Service หรือ CBS ถือโอกาสนี้เร่งดำเนินการและวางระบบ
"มองว่าการดำเนินการนี้ไม่ใช้เรื่องการใช้เทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องการบริหารจัดการ การวางแผน การประเมินสถานการณ์ไม่เกิดความตระหนกในช่วงที่มีพิบัติภัย พร้อมกับสร้างสังคมให้เกิดการตื่นรู้ ตื่นตัว พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์"

