อีแจ-มยอง แคนดิเดตประธานาธิบดีพรรคเสรีนิยมของเกาหลีใต้ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเมื่อวันอังคาร (3 มิ.ย.) ชัยชนะของอีถือเป็นการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของเกาหลีใต้ซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชีย
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของเกาหลีใต้จำนวน 44.39 ล้านคน หรือเกือบ 80% ต่างก็ออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง ซึ่งถือเป็นจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์สูงสุดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศนับตั้งแต่ปี 1997
“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็น ‘วันพิพากษา’ เพื่อต่อต้านกฎอัยการศึกของอดีตประธานาธิบดียุนซ็อกยอล และเป็นความล้มเหลวของพรรคพลังประชาชน (PPP) จากการตัดสินใจดังกล่าว” อี กล่าว
จากการนับคะแนนไป 99% พบว่าอีได้คะแนน 49.3% ส่วนคิมมุนซู แคนดิเดตจากพรรค PPP ได้คะแนน 41.3% อย่างไรก็ดี ลีเป็นเต็งหนึ่งที่จะชนะการเลือกตั้งมานานแล้ว เมื่อผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมาแล้วพบว่าคะแนนอีชนะคิมได้อย่างขาดลอย ผู้สนับสนุนของอีต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี
อีกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้สนับสนุนว่า เขาจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดและจะนำความสามัคคีมาสู่ประเทศ “เราจะเอาชนะความยากลำบากชั่วคราวนี้ได้ด้วยความแข็งแกร่งของบุคลากรของเราซึ่งมีความสามารถอันยิ่งใหญ่” อีกล่าว พร้อมให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจและแสวงหาสันติภาพกับเกาหลีเหนือผ่านการเจรจา
ทั้งนี้คาดว่าอีจะแสดงความปรองดองกับจีนและเกาหลีเหนือมากขึ้น แต่เขาก็ให้คำมั่นว่าจะยังคงมีส่วนร่วมกับญี่ปุ่นเหมือนในยุคของอดีตประธานาธิบดียุนต่อไป
การเลือกตั้งในวันอังคารที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีที่ไม่มีแคนดิเดตหญิงลงสมัครเลย แม้การสำรวจความคิดเห็นจะแสดงให้เห็นถึงช่องว่างที่กว้างระหว่างผู้ชายและผู้หญิงวัยรุ่น แต่ความเท่าเทียมทางเพศไม่ได้อยู่ในประเด็นนโยบายสำคัญที่ถูกเสนอในระหว่างการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการลงคะแนนเสียงในปี 2022
“สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างหงุดหงิดกับผู้สมัครกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็นอีแจ-มยอง หรือผู้สมัครฝ่ายอนุรักษนิยมคนอื่นๆ ก็คือ พวกเขาขาดนโยบายเกี่ยวกับผู้หญิง หรือกลุ่มชนกลุ่มน้อย” ควอน ซอฮยอน นักศึกษาปี 1 วัย 18 ปีกล่าว
(Photo by ANTHONY WALLACE / POOL / AFP)