ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee : JBC) ฝ่ายไทย ครั้งที่ 1/2568 นำโดย 'มาริษ เสงี่ยมพงษ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ' และ 'พลเอกมนัส จันดี' เสนาธิการทหาร เป็นประธานการประชุม ณ ห้องสถานการณ์ กระทรวงการต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ยืนยันกับสื่อมวลชนว่าทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศที่มีความใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์อันยาวนาน ซึ่งหากมีกรณีกระทบกระทั่งกัน จะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย และจากกรณีที่มีการปะทะกันตามแนวชายแดนบริเวณ 'ช่องบก' ในวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครสบายใจ แต่ยืนยันว่าทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการตามนโยบายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในประเทศอย่างเหมาะสม ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนตัวได้มีการติดต่อทางโทรศัพท์ไปหา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาแล้ว อีกทั้งในส่วนของความมั่นคงทั้งไทยและกัมพูชา โดยผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองประเทศได้มีการหารือกันด้วยเช่นกัน เพื่อลดความตึงเครียดในสถานการณ์
"ทั้ง 2 ประเทศมีความเห็นร่วมกันว่าจะใช้กลไกที่มีอยู่ เรามีเจตนารมณ์ทางการเมือง ที่ต้องการแก้ไขปัญหานี้อย่างสันติ โดยไม่มีความขัดแย้งผ่านกลไก 3 ระดับที่มีอยู่ระหว่างกัน"
มาริษ กล่าวต่อว่า สำหรับกลไกของ JBC คือกลไกเจรจาด้านการกำหนดเขตแดน นอกจากนี้ยังใช้กระบวนการ GBC ซึ่งได้มีการหารือร่วมกันแล้ว ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ปะทะกันครั้งล่าสุด แล้วสุดท้ายคือ RBC ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของพื้นที่ ส่วนการหารือในวันนี้เป็นการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมข้อมูลในการเข้าร่วมหารือครั้งถัดไปกับกัมพูชา ภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย - กัมพูชา (JBC) ซึ่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องมีการหารือให้เร็วที่สุด
ขอเน้นย้ำให้ทั้ง 2 ประเทศต้องอดกลั้น และไม่ทำสิ่งใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเลวร้ายต่อสถานการณ์ดังกล่าว โดยให้รอการเจรจาให้ดำเนินการไปโดยเร็วเพื่อคลี่คลายปัญหา
ขณะที่ 'นิกรเดช พลางกูร' โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียของ 'ทหารกัมพูชา' ที่เกิดขึ้นณบริเวณจุดปะทะช่องบก พร้อมยืนยันว่าการดำเนินการของฝ่ายไทยเป็นไปเพื่อรักษาอธิปไตย ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ ที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการจัดประชุม JBC ที่จะเกิดขึ้นตอนนี้มีอุปสรรคหรือปัญหาติดขัดเช่นไรบ้าง นิกรเดชกล่าวว่า ตอนนี้ไม่มีปัญหา ฝ่ายไทยมีความพร้อมในการเจรจา ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการหารือเรื่องการกำหนดวันประชุมกับทางกัมพูชาอยู่ พร้อมยืนยันว่าทั้ง 2 ประเทศอยากให้เกิดการพูดคุยให้เร็วที่สุด
ส่วนกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ของ 'ฮุนเซน' อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นความเห็นที่รุนแรง จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่กระทรวงจะดูแลและควบคุมจากฝั่งไทยเป็นหลัก โดยยึดหลักว่าข้อมูลที่จะถูกเผยแพร่โดยสื่อ จะต้องสะท้อนความเป็นจริงที่สุด
เมื่อถามว่าภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น กระทรวงการต่างประเทศในฐานะพลเรือนกับกระทรวงกลาโหมที่เป็นฝ่ายความมั่นคง ความเห็นสอดคล้องกันหรือไม่ ในเรื่องของการเจรจา นิกรเดช ยืนยันว่า ทั้งกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมมีความเห็นสอดคล้องและเป็นทิศทางเดียวกัน ซึ่งฝ่ายทหารก็ไม่ได้มีความประสงค์จะใช้ความรุนแรง เรามุ่งไปที่การหาข้อยุติอย่างสันติวิธี