กต.ย้ำไทยไม่ตอบโต้ผ่านโซเชียล ปัญหาชายแดนชี้แจงประชาคมโลกตลอด ยืนยันรัฐบาลปกป้องอธิปไตย

3 ก.ค. 2568 - 06:14

  • ‘รมว.ต่างประเทศ’ ย้ำฝ่ายไทยใช้ช่องทางทางการสื่อสารปัญหาชายแดน ไม่ตอบโต้ผ่านโซเชียล

  • ยืนยันมีการชี้แจงต่อประชาคมโลกโดยตลอด ขอประชาชนมั่นใจ รัฐบาลปกป้องอธิปไตยแน่นอน

กต.ย้ำไทยไม่ตอบโต้ผ่านโซเชียล ปัญหาชายแดนชี้แจงประชาคมโลกตลอด ยืนยันรัฐบาลปกป้องอธิปไตย

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (รมว.กต.) กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้ ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ความตึงเครียดลดลงในระดับหนึ่ง ไม่มีการปะทะกัน แต่มีบ้างจากการคงกำลัง และอาวุธบริเวณชายแดน ซึ่งรัฐบาลไทย อยากเห็นการปรับลดกำลังในแนวต่างๆ ให้กลับไปอยู่ในช่วงที่ไทย-กัมพูชา มีความสัมพันธ์กันอย่างปกติในช่วงปี 2567 เนื่องจาก รัฐบาลไทยกังวลถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

รมว.ต่างประเทศ ยังย้ำถึงการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่มีประชาชนอยากให้ฝ่ายไทยดำเนินการแบบตาต่อตาฟันต่อฟันกับอีกฝ่ายว่า กระทรวงการต่างประเทศ มีบทบาททางการ การสื่อสารต่างๆ จะต้องใช้ช่องทางทางการ หรือช่องทางการทูตในการเจรจา หากไปติดตามจากช่องทางที่ไม่เป็นทางการ โอกาสที่จะมีความไม่เข้าใจกัน ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงจะต้องพูดคุยในช่องทางทางการกับฝ่ายกัมพูชา

Ministry-of-Foreign-Affairs-reiterates-that-Thailand-will-not-respond-via-social-media-border-issues-SPACEBAR-Photo01.jpg

“ยอมรับว่า ปัจจุบันโซเชียลมีเดียมีบทบาทมาก และมีหลายมุมมองซึ่งอาจจะถูกต้องบ้าง หรือผิดบ้าง แต่กระทรวงการต่างประเทศมีความเข้าใจ และมอบหมายว่า ใครจะออกมาตอบโต้ประเด็นใด หรือถ้าเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการทูต ก็อาจจะต้องให้หน่วยงานอื่นเป็นผู้ดำเนินการ พร้อมย้ำว่า ประเทศไทย และรัฐบาลไทย ไม่ต้องการตอบโต้ฝ่ายใดผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะไม่ใช่ช่องทางทางการ และจะชี้แจงผ่านช่องทางทางการเท่านั้น และขอให้ใช้วิจารณญาณด้วยว่า เมื่อมีการพูด หรือสื่อสารไปแล้ว จะเกิดผลกระทบอย่างไร ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบ และจริยธรรมของแต่ละคน”

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายไทยสื่อสารกับเวทีโลกน้อย จนทำให้ไทยดูเป็นรองในหลายๆ เรื่องหรือไม่นั้น รมว.ต่างประเทศ ย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้สื่อสารกับประชาคมโลก สังคมไทย และทุกฝ่ายในช่องทางการทูตมาอย่างต่อเนื่องกับนานาประเทศ ถึงจุดยืน ความประสงค์ และความถูกต้อง ตามที่ประเทศทั้งสองมีพันธกรณีที่จะต้องมาแก้ไขปัญหาโดยการเจรจาสองฝ่าย จึงเรียกร้องให้กัมพูชาให้ความสำคัญกับการเจรจาในกรอบทวิภาคีโดยเร็วต่อไป

“แต่การใช้โซเชียลมีเดีย เป็นสิทธิของแต่ละคน แต่ถ้าเกิดผลกระทบ ก็ควรรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้น และต้องพิจารณาว่า จะต้องตอบโต้ในขั้นใด รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องรักษาช่องทางทางการ และเลือกประเด็นการตอบโต้ เพื่อไม่ให้ลำบากต่อการเจรจาในอนาคต”

รมว.ต่างประเทศ ยังกล่าวถึงการเจรจาเส้นเขตแดนว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีใครต้องการให้ประเทศสูญเสียอธิปไตย จึงเป็นการยาก และต้องใช้เวลาในการถกเถียง

“ยืนยันว่า ไทยจะปกป้องอธิปไตยแน่นอน จึงขอให้สังคมมั่นใจ และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น จะต้องหลีกเลี่ยงการเกิดความสูญเสีย และทำให้ประชาชนบริเวณชายแดนได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสันติ และสงบสุข หลีกเลี่ยงผลกระทบจากความตึงเครียด”

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ

ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชายังคงพยายามนำข้อพิพาทพื้นที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกนั้น รมว.ต่างประเทศ ย้ำว่า ประเทศไทย และหลายๆ ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศมหาอำนาจ ไม่ได้รับเขตอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 ดังนั้น ศาลโลก จึงไม่มีอำนาจพิจารณาในเรื่องนี้ และด้านอื่นๆ อย่างแน่นอน จึงไม่ได้กังวลใดๆ แต่กระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตามเพื่อเตรียมความพร้อม

รมว.ต่างประเทศ กล่าวย้ำว่า การประชุมคณะกรรมาธิการ JBC เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จในการวางกรอบการทำงานด้านเทคนิคของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายในการจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันต่อไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กลไกทวิภาคียังสามารถทำงานต่อไปได้ และสร้างความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเขตแดน

ส่วนกรณีที่ผู้นำกัมพูชา ได้กล่าวในลักษณะเรียกร้อง และอยากจะเห็นการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลไทย นั้น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่า การแสดงความเห็นของผู้นำกัมพูชาในเรื่องนี้ ที่กระทำผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ มีเนื้อหาแทรกแซงกิจการภายในของไทย อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎบัตรอาเซียน กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

“จึงได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ มุ่งสื่อสารกับประชาคมโลกในช่องทางที่เหมาะสมถึงการกระทำดังกล่าวที่ไม่ถูกต้อง และไม่ปรารถนาให้ตอบโต้กันในสื่อสังคมออนไลน์ตามที่เป็นกระแส เนื่องจาก ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาระหว่างกัน”

ด้าน เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงกรณีที่มีผู้ที่มอง MOU43 ทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจา เสี่ยงเสียดินแดน และอธิปไตยว่า MOU43 ยังเป็นกลไกทวิภาคี ที่ยังได้ใช้ และเป็นพันธะกรณีต่อทั้ง 2 ฝ่ายที่ต้องดำเนินการ เนื่องจาก เป็นสนธิสัญญาอย่างหนึ่ง ที่ทำขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งคู่สัญญาจะต้องปฏิบัติตามที่สัญญาไว้

“ย้ำว่า ใน MOU43 กำหนดให้มีคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา ซึ่ง JBC สามารถกำหนดประเด็นเร่งด่วนในการเจรจาได้ และหากฝ่ายกัมพูชาเห็นว่า 4 พื้นที่เป็นข้อกังวล ก็สามารถนำมาเร่งกระบวนการปักปันเขตแดนได้ ซึ่งผลการประชุม JBC เมื่อ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ฝ่ายไทยก็สามารถดำเนินการได้สำเร็จในระดับหนึ่ง”

“ทำให้ขณะนี้ ทราบว่า หลักเขตแดน 73 หลักที่ได้ดำเนินการมากว่า 100 ปี อยู่ในจุดใดบ้าง และมีจุดใดที่เห็นตรงกัน หรือขัดแย้งกัน พร้อมยังตกลงที่จะใช้โดรนในการจัดทำแผนที่ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการปักปันเขตแดน และทั้ง 2 ฝ่ายจะงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ รวมถึงการระงับข้อพิพาท-ความตึงเครียดต่าง ๆ ก็จะต้องดำเนินการอย่างสันติผ่านการเจรจาทวิภาคี 2 ฝ่าย”

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ย้ำด้วยว่า MOU43 เป็นการตีกรอบการเจรจา และการดำเนินการเพื่อให้เกิดแผนที่ที่มีความชัดเจน ไม่ได้ทำให้เสียดินแดนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งแผนที่ที่ได้ ก็จะต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จะต้องเสนอต่อรัฐสภาพิจารณา

ส่วนกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่ระบุฝ่ายไทย ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 ของกัมพูชานั้น อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ย้ำว่า การประชุม JBC ไม่มีประเด็นดังกล่าวในการหารือ ซึ่งฝ่ายไทยก็แปลกใจ เหตุใดจึงมีการสื่อสารในลักษณะนี้ออกมา แต่ก็มองเป็นเทคนิกของฝ่ายหนึ่ง ในการส่งสัญญาณผิดๆ ต่อมวลชนภายในของอีกฝ่าย พร้อมย้ำว่า เป้าหมายสุดท้ายคือการเกิดแผนที่ร่วมของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจากการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย และประธานาธิบดีฝรั่งเศส ทางฝรั่งเศสก็พร้อมสนับสนุนเอกสารเพิ่มเติม

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์