จากความกังวลของสังคมต่อสถานะทางการเงินของ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจ ‘ถังแตก’” และเป็นภาระงบประมาณต่อเนื่อง ล่าสุด กระทรวงการคลังเตรียมปรับโครงสร้างกองทุนครั้งใหญ่ หวังยกระบบให้พึ่งพาตนเองได้ และลดภาระต่อรัฐในระยะยาว
จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยระบุว่า ขณะนี้กระทรวงกำลังเดินหน้า ‘ปฏิรูปกยศ.’ อย่างจริงจัง โดยจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกรกฎาคมนี้
“ผมไม่เคยบอกว่า กยศ.ไม่เคยมีปัญหาสภาพคล่อง การปรับแก้กฎหมายในอดีตทำให้กองทุนมีข้อจำกัดในการบริหารรายได้จากดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ แต่ทางแก้ไม่ใช่การเทงบเข้าไปง่าย ๆ ต้องให้กองทุนปรับโครงสร้างตัวเองให้ยั่งยืน” จุลพันธ์ กล่าว

รัฐมนตรีช่วยฯ จุลพันธ์ บอกด้วยว่า ที่ผ่านมา กยศ.เคยบริหารได้ด้วยรายได้จากผู้กู้รายเก่าและค่าปรับโดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณรัฐ แต่หลังจากมีการแก้กฎหมายเพื่อลดภาระผู้กู้ ทำให้สภาพคล่องเริ่มตึงตัว และจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากรัฐเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ในปีงบประมาณ 2569 กยศ.ตั้งวงเงินปล่อยกู้ราว 41,300 ล้านบาท แต่ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพียง 21,900 ล้านบาท โดยส่วนที่เหลือราว 19,000 ล้านบาทจะบริหารจากภายใน ทั้งนี้ สำนักงบประมาณพิจารณาปรับลดเหลือเพียง 5,000 ล้านบาทเศษ ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจกระทบผู้กู้รายใหม่
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีช่วยว่าการคลัง ยืนยันว่า สิทธิผู้กู้รายเดิมจะยังได้รับต่อเนื่อง และขอให้มั่นใจว่า กระบวนการบริหารจัดการใหม่นี้ จะไม่ตัดโอกาสผู้เรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่จะมุ่งวางระบบที่โปร่งใส ยั่งยืน และตอบโจทย์การศึกษาเพื่ออนาคตของประเทศ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือ การชะลอการหักเงินคืนจากผู้กู้เดือนละ 3,000 บาท ที่มีกำหนดเริ่มเดือนมิถุนายนนี้ หลังได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก โดย จุลพันธ์ ระบุว่า อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางกฎหมายเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพเริ่มต้น
“เราต้องไม่ย้อนกลับไปแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ การบริหารกองทุนต้องมีประสิทธิภาพขึ้น เก็บหนี้ได้จริงมากขึ้น ลดภาระงบประมาณรัฐให้ได้มากที่สุดในระยะยาว” จุลพันธ์ กล่าว
การปฏิรูปครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการแก้ปัญหาทางการเงินของ กยศ. เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการวางอนาคตใหม่ให้กับระบบเงินกู้เพื่อการศึกษาของไทย ที่ให้ความสำคัญทั้งกับ ‘โอกาส’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ควบคู่กันไป