ชื่อ ‘สีกากอล์ฟ’ หรือ ‘น้องดอกไม้’ ในวงการสงฆ์ไทยชื่อนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความระแวงและศรัทธาที่สูญเสียไป เมื่อสาววัย 35 ปี จากจังหวัดพิจิตรกลายเป็นจุดเปลี่ยนของคดีฉาวโฉ่ที่ทำให้พระชั้นผู้ใหญ่ 8 รูปต้องลาสิกขา
เรื่องราวของสีกากอล์ฟเริ่มต้นจากชีวิตสามัญธรรมดา เกิดในครอบครัวยากจนที่พิจิตร การศึกษาไม่ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหาโอกาสในชีวิต ใครจะคิดว่า ความศรัทธาที่เธอแสดงออกเมื่อเข้าวัดทำบุญ จะกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างเครือข่ายที่ซับซ้อนกับพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป
เข้าหาพระชั้นผู้ใหญ่ ศรัทธาสู่ความสัมพันธ์ที่ผิดธรรม
การสร้างความสัมพันธ์ของสีกากอล์ฟไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว เธอใช้วิธีการที่ค่อนข้างชาญฉลาด เริ่มต้นด้วยการแสดงความศรัทธาผ่านกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ ก่อนจะค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยและขอแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อส่วนตัวกับพระชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้น
เมื่อผ่านระยะเวลาหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ ขยับจากการสนทนาทางโทรศัพท์และวิดีโอคอลธรรมดา ไปสู่เนื้อหาที่ละเอียดอ่อนและไม่เหมาะสม จนกลายเป็นความสัมพันธ์เชิงชู้สาวในที่สุด
สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากสร้างความสัมพันธ์ได้แล้ว สีกากอล์ฟจึงเริ่มแสดงพฤติกรรมเรียกร้องเงินจากพระรูปต่างๆ โดยอ้างความจำเป็นทางการเงิน
วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 กลายเป็นวันที่ความจริงถูกเปิดเผย เมื่อตำรวจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ทำการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือทั้ง 5 เครื่องของสีกากอล์ฟ
ผลการตรวจสอบทำให้ทุกคนต้องตกใจ เมื่อพบภาพและคลิปวิดีโอที่แสดงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพระชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากถึง 80,000 ไฟล์ หลักฐานเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการมีความสัมพันธ์กับพระชั้นผู้ใหญ่ 8 รูปที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ภาคกลางและตะวันออก โดยในจำนวนนี้มีพระที่ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดถึง 2 รูป
เส้นทางการเงินที่ซับซ้อน: จากการหยิบยืมสู่ข้อสงสัยทุจริต
การตรวจสอบไม่ได้หยุดเพียงแค่หลักฐานภาพและวิดีโอ เมื่อเจ้าหน้าที่ขยายผลไปยังบัญชีธนาคารของสีกากอล์ฟ ก็พบเส้นทางการเงินที่น่าสงสัยมากขึ้น มีการโอนเงินเชื่อมโยงกับพระชั้นผู้ใหญ่อีกถึง 12-13 รูป ซึ่งเกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในการสอบสวน สีกากอล์ฟยอมรับว่าเธอเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระ 8 รูปที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ ส่วนพระรูปอื่นๆ ที่เหลือ เธออ้างว่าเป็นเพียงการหยิบยืมเงินเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ยังคงต้องตรวจสอบให้ละเอียดว่า การโอนเงินเหล่านี้เป็นการทุจริตเงินวัดหรือไม่
ตำรวจกำลังพิจารณาแจ้งความข้อหาต่อสีกากอล์ฟใน 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ข้อหากรรโชกทรัพย์ จากพฤติกรรมการใช้วิดีโอและภาพถ่ายเป็นเครื่องมือกดดันเรียกร้องเงิน และข้อหาหมิ่นประมาทจากการเผยแพร่คลิปส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต
ปาราชิก: อาบัติร้ายแรงที่ไม่อาจให้อภัย
ในจำนวนพระ 8 รูปที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ มีพระ 3 รูปที่ถูกพิสูจน์ว่าละเมิด 'เมถุนปาราชิก' ตามพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ข้อที่ 1 ซึ่งเป็นอาบัติร้ายแรงที่สุดในพระพุทธศาสนา
การกระทำที่ถือว่าเป็นปาราชิกนั้นมีองค์ประกอบที่ชัดเจน คือ การเสพเมถุนกับมนุษย์ ขณะที่ยังครองผ้าเหลือง ซึ่งถือเป็น 'ธรรมของอสัตบุรุษ' ตามคำอธิบายในสิกขาบทวิภังค์ โทษของการกระทำดังกล่าวคือ การขาดจากความเป็นพระทันที และห้ามบวชใหม่ตลอดชีวิต
สิ่งที่น่าสนใจคือ พระที่ต้องปาราชิกจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องผ่านพิธีลาสิกขาอย่างเป็นทางการ เพราะจะขาดจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม พระบางรูปที่ยังไม่ถึงขั้นปาราชิกได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาสิกขา โดยผ่านกระบวนการขอขมาพระประธานในอุโบสถ ขอขมาพระอุปัชฌาย์และคณะสงฆ์ และเปล่งวาจาสละสมณเพศต่อหน้าพระเถระ
เสียงจากผู้ที่เห็นเหตุการณ์จากใกล้ชิด
พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ได้แสดงความเห็นอย่างเปิดเผยว่า สีกากอล์ฟเสมือน 'เพชฌฆาตในวงการสงฆ์' ที่เคยทำให้พระเปรียญธรรม 9 ประโยค 2 รูปต้องลาสิกขามาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่พระเมธีวัชรบัณฑิต (เจ้าคุณหรรษา) เปิดเผยเรื่องราวที่น่าเศร้าของพระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ ศาสตราจารย์สงฆ์วัยน้อยรูปหนึ่งที่ต้องสึกหลังจากถูกสีกากอล์ฟแบล็กเมล์
การปรากฏตัวของสีกากอล์ฟในสื่อสังคมออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ เธอมักแต่งกายด้วยชุดไฮโซราคาแพง ทำให้สื่อสังคมออนไลน์ตั้งฉายาให้เธอว่า ‘นารีพิฆาตพระ’ พร้อมกับการวิจารณ์วิถีชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ที่ควรจะเป็น
อัจฉรพรรณ หอมรส สว. ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมาธิการศาสนา วุฒิสภา ได้แสดงความกังวลว่า กรณีนี้ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างร้ายแรง จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งควบคุมพระวินัยอย่างเข้มข้น พร้อมทั้งปกป้องพระสงฆ์ที่บริสุทธิ์ไม่ให้ถูกเหมารวมไปด้วย
คณะกรรมาธิการศาสนาวุฒิสภาได้เร่งหารือแนวทางในการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงวิธีการฟื้นฟูศรัทธา ซึ่งรวมถึงการพิจารณามาตรการป้องกันปัญหาในอนาคตด้วย
ข้อเท็จจริงเรื่องเงินที่มาของปัญหา
แม้ว่าการดำเนินคดีจะอยู่ในขั้นตอนสำคัญแล้ว แต่ยังมีหลายประเด็นที่ต้องติดตามให้ชัดเจน หนึ่งในนั้นคือ การตรวจสอบเส้นทางการเงิน 20 ล้านบาทที่หายไปจากวัด ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าเชื่อมโยงกับคดีนี้หรือไม่
นอกจากนี้ การพิสูจน์ว่าการโอนเงินจากพระ 5-6 รูปที่เหลือเป็นการทุจริตเงินวัดหรือเป็นเพียงการหยิบยืมส่วนตัวจริง
วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวของคนคนหนึ่งที่ใช้ความศรัทธาเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ แต่เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ในระบบดูแลจริยธรรมของคณะสงฆ์ไทยที่ยังมีความเปราะบาง
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นว่า คดีนี้ควรเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการปฏิรูปโครงสร้างการดูแลคณะสงฆ์ให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยต้องมีกลไกตรวจสอบที่โปร่งใสและไม่เลือกปฏิบัติ
คดีของสีกากอล์ฟจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวฉาวโฉ่ที่ผ่านไปเฉยๆ เพื่อให้ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนยังคงอยู่ต่อไป หรือจะปล่อยให้ความไม่ไว้วางใจกัดกร่อนรากฐานของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยไปอีกนานแค่ไหน?