แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้ง โดยมีการปฏิบัติงานร่วมกันและมีการพูดคุยในหลายภาคส่วน ซึ่งผลออกมาก็ค่อนข้างสงบเรียบร้อยดี
ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ให้อำนาจในพื้นที่ของหน่วยงานความมั่นคง กองทัพ และการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศตามกรอบความร่วมมือทวิภาคี ก็ได้คุยกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงการคุยกันระหว่างกระทรวงและทุกหน่วยงานทั้งไทยและกัมพูชา
ดิฉันก็ได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็มีการประสานงานกัน มีการเจรจาเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน ซึ่งลัพธ์ที่ออกมา เราสามารถเจรจากันด้วยสันติวิธี ทำให้ไม่มีการปะทะกันที่รุนแรง
ในระดับพื้นที่ หน่วยงานความมั่นคงและกองทัพได้มีการประสานกับผู้นำเหล่าทัพของกัมพูชาในหลายครั้ง เพื่อที่จะพูดคุยเจรจาบริเวณชายแดน ซึ่งแต่ละหน่วยมีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ทำให้การพูดคุยเป็นไปด้วยดี ทั้งนี้ สมเด็จฮุน เซน ได้มีการประสานงาน ส่งผู้บัญชาการเหล่าทัพเพื่อมาขอความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขบริเวณที่มีการพิพาท ซึ่งได้มีการรายงานกับสมเด็จฮุน เซน เรียบร้อย ทำให้มีความเข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงมีการปรับกำลังพลในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทให้อยู่ในสถานการณ์ปกติ ส่วนบริเวณพื้นที่อื่น ๆ ยังคงมีกำลังพลตามเดิม
ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นย้ำในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) วันที่ 14 มิ.ย.นี้ โดยมีการคอนเฟิร์มในทุกระดับ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ระดับนายกรัฐมนตรี ขอยืนยันว่าการประชุมในวันที่ 14 มิ.ย.นี้เกิดขึ้นแน่นอน”
ส่วนกรณีที่กัมพูชามีความประสงค์จะส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ทางรัฐบาลไทย ขอยืนยันว่าไม่รับเขตอำนาจศาลโลก โดยที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการผ่านวิธีทางการทูต ซึ่งเป็นที่ยอมรับในเวทีสากลและมีผลลัพธ์ที่ดีมาโดยตลอด แน่นอนว่าเรื่องนี้บางครั้งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนได้ เพราะเป็นการเคารพการพูดคุยในเรื่องของข้อมูลของทั้งสองประเทศ ตรงนี้เป็นสิ่งจำเป็น ไม่สามารถรายงานได้ตลอด
ทั้งนี้ ได้มีการกำชับมาตรการชายแดนต่าง ๆ ให้มีการเปิด-ปิดตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไม่ได้มีการปิดด่านถาวรตามที่มีข่าวลือออกมา เพราะทราบดีว่าพื้นที่ตรงนั้นมีการค้าขายระหว่างประเทศ ถ้าปิดด่านถาวรจะส่งผลเสียต่อประชาชน ฉะนั้น ก็มีมาตรการรัดกุมในเรื่องของเวลาเปิด-ปิดด่าน
ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ได้มีส่วนในการเจรจาในครั้งนี้ เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันได้พูดคุยกับหัวหน้าหน่วยทุกคนที่ได้มีรายงานตรงมายังดิฉันตลอดเวลา ซึ่งบางอย่างดิฉันไม่สามารถออกมาพูดได้ เพราะจะเกิดผลกระทบค่อนข้างไม่ดี แต่มีบางข้อมูลที่เล็ดลอดออกไป ก็ได้มีการบอกกับทางกัมพูชาและมีการตกลงกันได้ และเข้าใจซึ่งกันและกัน
ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวมถึงไม่ให้สร้างความแตกแยกภายในประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นคง และสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนว่า เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยสันติวิธี รวมถึงทำให้ผู้ประกอบการในบริเวณดังกล่าวเกิดความมั่นใจ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันเน้นย้ำ
รัฐบาลขอยืนยันอีกครั้งว่า การเจรจาทั้งหมดนี้ผ่านไปด้วยดี และขอเน้นย้ำว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นกับประชาชนอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่า นายกฯ ให้ความมั่นใจได้ใช่หรือไม่ว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้น? แพทองธาร กล่าวว่า “ค่ะ”
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า มีความมั่นใจกับท่าทีสมเด็จฮุน เซน แค่ไหน หลังออกมาโพสต์ข้อความที่มีนัยเชิงลบ เล่นคำว่า “การขยับกำลัง” ไม่ได้เป็นการ “ถอย” เหมือนการนอนอยู่แล้วเปลี่ยนท่า? แพทองธารตอบว่า “เราสื่อสารในเรื่องนี้ในลักษณะที่คล้ายกันหลายจุด เช่นคำว่าถอย ทั้งสองฝ่ายก็ไม่อยากใช้คำนี้ เราใช้คำว่าปรับกำลัง เพราะเราปรับกำลังทั้งคู่ เป็นการให้เกียรติกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่กัมพูชาอย่างเดียว แต่ของเราก็ปรับกำลังเช่นกัน การที่เขาบอกว่าพร้อมรับมือ เราก็พร้อมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปะทะในแบบไหน เราต้องเตรียมความพร้อมไว้ก่อน”
เมื่อถามถึงประเด็นการยื่นหนังสือของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นำโดย สุนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถึงการขอให้รักษาอธิปไตย? แพทองธารกล่าวว่า “ยังไม่เห็นหนังสือ เพียงแต่ทราบว่ามีการมายื่น ทุกความคิดเห็นรัฐบาลรับฟังอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำอยู่ ทางกองทัพก็วางกำลังดูแลอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่า อะไรคือประเด็นหลักในการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และสมเด็จฮุน มาเนต แล้วทำให้ท่าทีอ่อนลง? แพทองธารกล่าวว่า “ทั้งสองประเทศต้องการสันติวิธี และเราพูดคุยตามความจริงใจ ว่าเรามีความจริงใจแบบนี้ ไม่ต้องการเห็นคนทั้งสองประเทศมีปัญหากัน เราต้องการความสงบ ตอนนี้เราเร่งเครื่องเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า ไม่อยากให้มาเป็นสนามรบหรืออะไร”
เมื่อถามว่า หนึ่งในข้อเสนอคือการให้ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกให้เป็นสากล และยกเลิกเอ็มโอยู 43 เราจะหยิบยกเรื่องนี้มาพิจารณาหลังเกิดความขัดแย้งครั้งนี้เลยหรือไม่? แพทองธารตอบว่า “เราขอพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป เหมือนที่เรายืนยันกับทางกัมพูชา ว่าเราขอโฟกัสที่เรื่องข้อพิพาทก่อน ไม่ใช่เอาทุกเรื่องมาปนกันหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่ชัดเจนในแต่ละหัวข้อ แต่ทุกเรื่องที่มีปัญหาหรือว่ายังไม่จบ ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายบริหารต้องพิจารณาอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่า พูดได้หรือไม่ว่ารัฐบาลแก้ทีละปมทีละจุด? แพทองธารตอบว่า “ใช่ค่ะ แก้ทีละปมทีละจุด”