·สำนักข่าว AFP
ระบุว่า การเมืองของไทยถูกการต่อสู้ระหว่างกลุ่มชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยม ฝ่ายทหาร ฝ่ายสนับสนุนราชวงศ์ และตระกูลชินวัตรซึ่งพวกเขามองว่าเป็นภัยคุกคามต่อระเบียบสังคมแบบดั้งเดิมของไทย ครอบงำมานานหลายปี
หลังศาลสั่งให้นายกหยุดปฏิบัติหน้าที่ ไทยอาจเข้าสู่ภาวะโกลาหล เนื่องจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำและภัยคุกคามจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
·สำนักข่าว Channel News Asia
ระบุว่า ผู้สังเกตการณ์การเมืองชี้ว่า ทั้งสองคดีนี้ (คดีนายกรัฐมนตรี และคดี ทักษิณ ชินวัตร) สะท้อนถึงการต่อสู้ยืดเยื้อระหว่างกลุ่มอนุรักษนิยมกับตระกูลชินวัตร ที่ยังคงเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งการเมืองไทยตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
CNA ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจนำประเทศเข้าสู่วิกฤตทางการเมืองรอบใหม่ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและความกังวลเรื่องภาษีจากสหรัฐฯ
·สำนักข่าว Reuters
ระบุว่า ความง่อนแง่นของรัฐบาลแพทองธารในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาเน้นย้ำให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของพรรคเพื่อไทยลดลง หลังจากชนะการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2001 และต้องเผชิญกับการรัฐประหารและศาลปกครองที่ล้มรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีหลายชุด
·สำนักข่าว The New York Times
ระบุว่า คำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งล่าสุดในประเทศไทย ซึ่งประสบปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองมาอย่างยาวนานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังทำให้เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องอยู่ในภาวะสุญญากาศของภาวะผู้นำในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัว นอกจากนี้ยังเกิดความกังวลว่ากองทัพ ซึ่งเข้ามาแทรกแซงในวิกฤตการเมืองมาเป็นเวลานาน อาจก่อการรัฐประหารอีกครั้ง
แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ในทางกลับกัน ทหารน่าจะใช้วิธีทางกฎหมายเพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรี โดยเมื่อปีที่แล้ว เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนื่องจากละเมิดจริยธรรม
·สำนักข่าว BBC
ระบุว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญทำให้แพทองธารเป็นนักการเมืองคนที่ 3 ในตระกูลชินวัตร ซึ่งมีอิทธิพลซึ่งครอบงำการเมืองไทยมาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา สูญเสียอำนาจก่อนจะครบวาระ ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลของเธอก็สั่นคลอน เนื่องจากมีเสียงข้างมากปริ่มน้ำ หลังจากพันธมิตรอนุรักษนิยมคนสำคัญได้ถอนตัวออกไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP