ทิ้งไพ่ทีละใบ! ‘ปชน.’ เสนอรัฐบาลรับมือ ‘กำแพงภาษีสหรัฐฯ’

3 เม.ย. 2568 - 06:04

  • ‘ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาชน’ เสนอรัฐบาลรับมือ ‘กำแพงภาษีสหรัฐฯ’

  • แนะ ‘ทิ้งไพ่ทีละใบ’ คิดถึงผู้เสียประโยชน์ ระวัง ‘สินค้าจีน’ ทะลักรอบใหม่

Peoples_Party_suggests_government_to_deal_with_US_tariff_policy_SPACEBAR_Hero_eeefc86e89.jpg

ทีมนโยบายเศรษฐกิจพรรคประชาชน นำโดย ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ และ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน แถลงถึงกรณีนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา

ศิริกัญญา กล่าวถึงนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ประกาศล่าสุด เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ว่า จะตอบโต้ไทยด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากไทยอีก 36% เป้าประสงค์ในครั้งนี้ ต่างจากครั้งก่อนหน้าที่เพียงต้องการลดการขาดดุล แต่ครั้งนี้ต้องการรายได้เข้ารัฐ เพื่อทดแทนภาษีเงินได้ที่กำลังจะประกาศลด และต้องการให้นักลงทุนย้ายฐานกลับสหรัฐอเมริกา 

สำหรับผลกระทบต่อจีดีพีไทยในปี 2568 ศิริกัญญา เห็นว่า ขึ้นอยู่กับผลของการเจรจา จึงขอให้รัฐบาลใช้การเจรจาอย่างเร่งด่วนและรัดกุม เพราะหากไม่ทำอะไรเลย หรือการเจรจาไม่เป็นผล จะกระทบกับมูลค่าส่งออกรวมมากกว่า 1% ทำให้จีดีพีอาจหดตัวมากกว่า 1% จนต่ำกว่าเป้า 2% ได้

หากสามารถเจรจาลดภาษีลงมาได้เหลือ 25% จีดีพีจะลดลง 0.8% แต่ถ้าสามารถเจรจาลดภาษีลงมาได้ที่ขั้นต่ำสุดที่ ‘ทรัมป์’ ประกาศ 10% จีดีพีจะลดลงราว 0.3% สำหรับกลุ่มสินค้า คาดว่าสินค้าที่จะได้รับผลกระทบหนักคืออุปกรณ์สื่อสาร ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (hard disk drive) ยางล้อ เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า อย่างไรก็ดี มิใช่เพียงภาคส่งออกเท่านั้น แต่การลงทุนของบริษัทต่างๆ ก็จะหยุดชะงักด้วย เพื่อรอให้ฝุ่นหายตลบถึงจะตัดสินใจลงทุนกันครั้งใหม่

ศิริกัญญา ตันสกุล

ศิริกัญญา เสนอต่อไปยังรัฐบาลและคณะทำงานผู้ทำหน้าที่เจรจาที่เพิ่งตั้งขึ้น ว่า ต้องเรียกร้องให้มีการทบทวน โดยนำตัวเลขอื่นๆ ที่สหรัฐฯ ยังไม่นำมาคำนวณ เช่น ดุลบริการที่สหรัฐฯ ได้ดุลกับไทยอยู่แล้ว

ด้าน วีระยุทธ เสนอให้แยกผลกระทบออกเป็น 2 ส่วน คือ ผลทางตรง ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่พึ่งตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก คือ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางรถยนต์ กลุ่มนี้จะได้รับผลรุนแรงรวดเร็ว เพราะเราส่งออกไปสหรัฐฯ รวมแล้ว 55,000 ล้านเหรียญ คิดเป็น 19% ของการส่งออกทั้งหมด และเกินดุลกับสหรัฐฯ ถึง 45,600 ล้านเหรียญ แม้การขยายตัวของการส่งออกช่วงไตรมาสแรกปีนี้ค่อนข้างดี เพราะบริษัทส่วนใหญ่เร่งส่งออกสินค้าไปสต็อกไว้ที่สหรัฐฯ ก่อน หนีความไม่แน่นอนของนโยบายกำแพงภาษี ของจริงจะเกิดขึ้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป

ผลกระทบอีกด้านที่ วีระยุทธเห็นว่าอย่าละเลย คือ ผลกระทบทางอ้อม 3 ชั้น ที่ไม่ควรมองข้าม

  • ชั้นที่ 1 สินค้าที่ส่งไปยังประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ไทยส่งออกไปเม็กซิโก เพื่อประกอบส่งเข้าสหรัฐฯ อีกทีก็มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท
  • ชั้นที่ 2 การแข่งขันรุนแรงขึ้นในตลาดประเทศอื่นๆ จากการที่ผู้ส่งออกหนีจากตลาดสหรัฐฯ เช่น ในตลาดประเทศออสเตรเลีย ก็มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เข้ามาชิงส่วนแบ่งของไทย
  • ชั้นที่ 3 คือ สินค้าขั้นกลางอย่างยางพาราและเม็ดพลาสติก ที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อเข้าตลาดสหรัฐฯ ยอดตรงนี้ก็จะตกลงไปด้วย

วีระยุทธ เสนอแนวทางการรับมือเฉพาะหน้า ว่า ไทยต้องเจรจาอย่างมียุทธศาสตร์ “อย่าให้ทีเดียวหมด เก็บไพ่ในมือไว้ปล่อยทีละใบ” ตัวอย่างไพ่ใบสำคัญที่ไทยอาจนำมาเป็นกลยุทธ์ต่อรองได้ คือ 

มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่ไทยมีอยู่ 166 มาตรการ ต้องเอามาจัดลำดับความสำคัญ ว่าแต่ละตัวหากเปิดให้สหรัฐฯ แล้วจะส่งผลต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคไทยอย่างไร เลือกทำเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก่อน เช่น เพิ่มสิทธิแรงงาน

จากนั้น เปิดรับการนำเข้าแบบ “มียุทธศาสตร์” คือ เลือกสินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งของซัพพลาย

รัฐบาลต้องเปิดข้อมูลผู้ได้ผู้เสียจากของที่จะเอาไปต่อรอง อย่ามุบมิบเจรจา อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับการเปิดเสรีกับจีน ที่ผู้เสียประโยชน์ไม่รู้ตัวและไม่ได้รับความช่วยเหลือให้เตรียมพร้อมรับมือ และเหนืออื่นใด คือต้องเริ่มจินตนาการถึง “โลกที่ไม่มีอเมริกาและจีน” ว่าไทยจะปรับซัพพลายเชนแต่ละสินค้าอย่างไร เพื่อรับมือภาวะสงครามการค้าที่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร

ด้าน สิทธิพล แนะนำให้พร้อมรับมือการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจีนที่จะรุนแรงขึ้นอีก หลายเรื่องรัฐบาลพูดมานานอยู่ในแผนที่จะทำ แต่ยังไม่มีกำหนดเสร็จชัดเจน เช่น การกำกับแพลตฟอร์ม (platform) การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มออนไลน์มีส่วนรับผิดชอบ หากปล่อยให้มีการขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์ม การเพิ่มจำนวนมาตรฐานบังคับ เพื่อขยายความคุ้มครองประเภทสินค้าให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง และเจ้าหน้าที่สามารถยึดอายัดได้

สิทธิพล กล่าวว่า เรื่องเหล่านี้รัฐบาลพูดมาตั้งแต่กันยายนปี 2567 แต่ยังไม่มีการออกมาตรการมาบังคับใช้ เช่น เรื่องการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในไทย เพื่อให้ภาครัฐสามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามคือ เรื่องนี้เมื่อไหร่จะเสร็จ ตราบใดที่ยังไม่เสร็จ รัฐก็ไม่มีประสิทธิภาพในการกำกับควบคุมมาตรฐาน คุณภาพสินค้า การตรวจสอบภาษี ตลอดจนการลงโทษหากผู้ประกอบการต่างชาติกระทำผิด

สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล

เรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงการดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้า วันนี้มีเรื่องร้องเรียนจากผู้ประกอบการจำนวนมาก ว่าถูกสินค้าจากต่างชาติทุ่มตลาด หลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด กระทั่งได้รับการสนับสนุนอย่างไม่เป็นธรรม

ซึ่งภายใต้กระบวนการปัจจุบัน ภาคเอกชน ผู้ประกอบการประสบความยากลำบากในการรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง รัฐจะสามารถช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกมากกว่านี้ได้อย่างไร เช่นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด การตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน

ในเรื่องมาตรฐานบังคับ ผ่านมาครึ่งปี ที่อยู่ในลิสต์ว่าจะออกมาตรฐานก็มีจำนวนเท่าเดิม จำนวนที่เพิ่มและมีผลบังคับใช้แล้วมีเพียง 1-2 มาตรฐาน ความเร็วในอัตรานี้ ไม่เพียงพอต่อการกำกับสินค้าต่างชาติ

สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล

นอกจากนี้ ยังควรเร่งรัดคือการตรวจจับที่ด่านศุลกากรให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เพราะเป็นด่านแรกของการที่สินค้าเหล่านี้เข้ามาในประเทศ แม้รัฐบาลจะบอกว่าปัจจุบันตรวจสอบหรือสกรีนเพิ่มขึ้นแล้ว บางช่องทางถึงขนาดบอกสกรีน 100% แต่การที่สินค้าเหล่านี้ยังรอด แสดงให้เห็นว่าการตรวจยังมีช่องโหว่

ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาชนปิดท้ายว่า จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมเสนอญัตติด่วนเพื่อเร่งรัดการแก้ปัญหา รวมถึงใช้กลไกกรรมาธิการและการสื่อสารสาธารณะในการเสนอแนะรัฐบาล เพราะสงครามการค้ามีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์