ดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงกรณีประกาศกระทรวงมหาดไทย (มท.) ให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองได้ตามกฎหมาย ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว ว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
“โดยกฎเกณฑ์ใหม่จะให้ระยะเวลาดำเนินการให้สถานะบุคคลลดจากจำนวนวันเดิมคือ 270 วันเหลือเพียง 5 วันเท่านั้น แต่ใครที่อพยพมาใหม่นั้น ขอเรียนว่าไม่ได้ ซึ่งบุคคลที่จะครอบคลุมคือเป็นบุคคลที่อพยพเข้ามาก่อนปี 2542 และได้ทำทะเบียนประวัติไว้แล้ว มีประมาณ 3.4 แสนคน ได้รับสถานะเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและขอแปลงสัญชาติเป็นไทย มีถิ่นที่อยู่เกิน 5 ปี”
“นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงบุตรของคนกลุ่มนี้ด้วย รวมแล้วอยู่ที่ราวๆ 4 แสนคน เป็นการให้สัญชาติกับประชาชนซึ่งอาจจะเป็นชาวเผ่า ชาวเขา ที่ไม่เคยได้สัญชาติและไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลของประเทศไทยได้ ทั้งที่เขาเป็นคนไทย เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ และเรื่องนี้ตั้งต้นมาตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี กระทั่งมาถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อีกทั้งยูเอ็นก็ได้ชื่นชมการแก้ปัญหาการให้สัญชาติของประเทศไทยกับคนกลุ่มนี้ และถือเป็นการให้สัญชาติผู้ไร้สัญชาติมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก และต้องขอแสดงความยินดีด้วย”
— ดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทย
‘เพื่อไทย’ ผลักดันร่าง กม.นิรโทษฯ หวังสร้างสังคมกลับมาสมานฉันท์
ดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคเพื่อไทย ยังแถลงกรณีการเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ว่า ทราบจากคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ว่ามีการขอเลื่อนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปก่อนประมาณ 1 เดือนบวกลบ และขอยืนยันว่าการผลักดันให้มีสถานบันเทิงครบวงจรนั้น เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย
ดนุพร กล่าวต่อว่า การเลื่อนออกไปเพื่อทำความเข้าใจกับโครงการนี้ รวมถึงฟังความคิดเห็นของประชาชน นักวิชาการ สถาบันการศึกษาต่างๆ อย่างรอบด้าน ทั้งนี้ จากการเลื่อนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกไปก่อนนั้น มีผลทำให้ร่างกฎหมายที่อยู่อันดับที่สองคือร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมประชาชนที่มีอยู่ 4 ร่างจะเข้าสู่การพิจารณาวาระแรกในวันที่ 9 กรกฎาคม และหวังว่ากระบวนการทางสภาฯ ที่จะออกกฎหมายฉบับนี้จะเป็นแนวทางที่ทำให้สังคมกลับมาสมานฉันท์และเดินหน้าประเทศไทยกันอีกครั้ง
