'บล.พาย’ ชี้หุ้นไทยฟื้นแต่ยังเปราะ แนะสะสมหุ้นรายตัว เน้นหุ้นใหญ่พื้นดี PE ต่ำ

25 มิ.ย. 2568 - 07:07

  • SET ฟื้นระยะสั้น–เน้นสะสมรายตัว หุ้นใหญ่พื้นฐานแกร่ง

  • กลุ่มพลังงาน–น้ำมัน “จบรอบ” อุปสงค์โลกเปลี่ยน

'บล.พาย’ ชี้หุ้นไทยฟื้นแต่ยังเปราะ แนะสะสมหุ้นรายตัว เน้นหุ้นใหญ่พื้นดี PE ต่ำ

“บล.พาย” มองดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวระยะสั้นจากปัจจัยบวกเฉพาะหน้า แต่อย่าคาดหวังระยะยาว แนะกลยุทธ์เน้นสะสมรายตัวในหุ้นพื้นฐานดี พร้อมเตือนนักลงทุนจับตาความเสี่ยงจากสงครามตะวันออกกลาง–นโยบายดอกเบี้ย

วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย (Pi Securities) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในระยะนี้เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี โดยมีแรงหนุนจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ สัญญาณบวกจากการหยุดยิงในตะวันออกกลาง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐวงเงินรวมกว่า 1.15 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวดังกล่าวยังคงอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะผลักดันดัชนีให้ปรับขึ้นในระยะยาว

“SET ลงมายืนที่ระดับต่ำสุดเดิมซึ่งเป็นแนวรับทางจิตวิทยา ตลาดจึงฟื้นกลับขึ้นมาราว 3% แต่พื้นฐานเศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนจึงไม่ควรคาดหวังการฟื้นตัวในลักษณะเทรนด์ขาขึ้นถาวร” วทัญ กล่าว

หุ้นไทยไม่แพง แต่ต้องเลือกเป็นรายตัว

บล.พายประเมินว่า ดัชนี SET Index มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 1,050–1,200 จุด โดยจุดเด่นของตลาดไทยขณะนี้คือระดับ Valuation ที่เริ่มน่าสนใจ หลังปรับตัวลงมาต่อเนื่องกว่า 1,000 จุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

“กลยุทธ์การลงทุนควรเลือกลงทุนรายตัวในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ปันผลสม่ำเสมอ และ PE ต่ำ โดยกลุ่มที่แนะนำได้แก่ ค้าปลีก (CPN, CPALL, CRC) ท่องเที่ยว (MINT, CENTEL) สื่อสาร (ADVANC) กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS) และนอนแบงก์ (SAWAD)” วทัญระบุ

ทั้งนี้ กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ CK,SCC, SCCC, TASCO ก็อาจเป็นอีกทางเลือกในระยะสั้น แต่ต้องระวังการเก็งกำไรเกินจริง เพราะวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลอนุมัตินั้นคิดเป็นเพียง 0.6–0.7% ของ GDP เท่านั้น

จับตาดอกเบี้ยไทย มีโอกาส “ลดเซอร์ไพรส์”

วทัญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ในการประชุมรอบหน้า แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่อาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยแบบ “เซอร์ไพรส์” เนื่องจากเงื่อนไขด้านเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเอื้อต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงิน

“เงินเฟ้อไทยยังต่ำ เศรษฐกิจยังโตไม่มาก แม้ตัวเลข GDP ไตรมาส 1 จะออกมาดี และตลาดพันธบัตรก็สะท้อนการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยไปล่วงหน้าแล้วผ่าน Bond Yield อายุ 1 ปีที่ลดลงเหลือราว 1.5%”

หากมีการลดดอกเบี้ยจริง เชื่อว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกในเบื้องต้น แม้อาจส่งแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มธนาคารในระยะสั้น

สงครามตะวันออกกลาง: คลี่คลายแต่ยังไม่จบ

แม้มีสัญญาณหยุดยิงระหว่างอิหร่าน–อิสราเอล แต่สถานการณ์ยังคงมีความเปราะบาง โดยราคาทองคำยังผันผวนต่อข่าวอย่างใกล้ชิด ส่วนราคาน้ำมันดิบแม้จะตอบรับข่าวสงคราม แต่กลับปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะปรับลงแรงเมื่อมีข่าวดี

“ราคาน้ำมันยังไม่สามารถขึ้นแรงได้ แม้มีเหตุการณ์สงคราม นั่นสะท้อนว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก โดยเฉพาะจากจีนไม่ได้โตเหมือนในอดีต อีกทั้งการใช้พลังงานสะอาดและรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มระยะกลาง–ยาวของน้ำมันกำลังอยู่ในทิศทางขาลง”

หุ้นพลังงาน–น้ำมัน อาจ “จบรอบ” แล้ว

บล.พาย แนะหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มพลังงานและน้ำมัน ณ ช่วงนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันขาดปัจจัยบวก และแนวโน้มอุปสงค์ทั่วโลกเริ่มหดตัวต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์