Photo Story : “ขออย่าให้พ่อแม่ต้องรบกัน” เสียงจาก ‘แรงงานกัมพูชา’ บนผืนดิน ‘ไทย’

18 มิ.ย. 2568 - 13:31

  • พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชากว่า 30 ตารางกิโลเมตร ยังเป็นข้อพิพาท แม้จะเคยมีคำตัดสินจากศาลโลกแล้วก็ตาม

  • ‘กีม เทีย’ ใช้ชีวิตแรงงานในไทยกว่า 12 ปี เธอเชื่อว่าการทำงานข้ามชาติ คือโอกาสในการพัฒนาทั้งครอบครัวและมาตุภูมิ

  • “ไทยเปรียบเหมือนแม่ กัมพูชาเปรียบเหมือนพ่อ” เธอวิงวอนขอสันติภาพผ่านคำสวด และเรียกร้องให้สองรัฐใช้เหตุผลแทนการใช้อาวุธ

Photo Story : “ขออย่าให้พ่อแม่ต้องรบกัน” เสียงจาก ‘แรงงานกัมพูชา’ บนผืนดิน ‘ไทย’

803 กิโลเมตร คือความยาวตลอดแนวพรมแดน ‘ไทย - กัมพูชา’ ในจำนวนนี้ราวๆ 30 ตารางกิโลเมตร ยังเป็นข้อถกเถียงถามหา ‘เจ้าของโดยแท้จริง’ อยู่ แม้จะเป็นปัญหาระหว่าง ‘รัฐต่อรัฐ’ ในทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่กระแสความบาดหมางเริ่มมีทิศทางที่สูงขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะกับกลุ่ม ‘ชาตินิยม’ ที่แสดงความเห็นเชิง ‘อาฆาตมาดร้าย’ ต่อมนุษย์ด้วยกันทั้ง 2 ชาติ 

ผมเลือกจะพับแผนที่สากล แล้วจับเข่าพูดคุยกับ ‘เพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง’ ในห้องขนาดไม่เกิน 20 ตารางเมตร เพื่อหามุมมองที่จะนำไปสู่ทางออกอันยิ่งใหญ่ นั่นคือหนทางแห่ง ‘สันติภาพ’ 

Please-don't-let-your-parents-fight-each-other-Voices-from-Cambodian-workers-on-Thai-SPACEBAR-Photo01.jpg

‘กีม เทีย’  (Kim Thea) เครือข่ายแรงงานชาวกัมพูชา วัย 50 ปี ยินดีให้เดินทางไปหาที่ห้องพักในอพาตเมนต์เล็กๆ ย่านนวนคร ทันทีหลัง หลังผมพยายามประสานหาแหล่งข่าวชาวกัมพูชา เพื่อถกถามปุจฉาและหาแง่คิดเรื่องชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งแบบชาตินิยม 

ดั้งเดิมของ ‘กีม’ อาศัยอยู่ใน ‘ตาแก้ว’ จังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ ประเทศกัมพูชา พ่อแม่ของเธอเป็นชาวเขมร ที่แยกกันอยู่มาตั้งแต่เด็กเนื่องจากภาวะ ‘สงครามกลางเมือง’ ยุค ‘เขมรแดง’ แม่ของเธอลี้ภัยจากพื้นที่ความขัดแย้ง - เข้ามาทำงานที่จังหวัดตราด ในประเทศไทย จนกระทั่งได้รับสัญชาติไทย อย่างถูกกฎหมาย 

หญิงชาวกัมพูชา เล่าให้ฟังว่า ในภาวะที่การเมืองภายในเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เป็นเรื่องปกติของชาวกัมพูชาหลายคนพยายาม ที่จะ ‘หาโอกาส’ เพื่อ ‘ครอบครัว’ แม้จะต้องจากมาตุภูมิเพื่อ ‘หางาน’ 

Please-don't-let-your-parents-fight-each-other-Voices-from-Cambodian-workers-on-Thai-SPACEBAR-Photo03.jpg

แม้ในภาวะที่การเมืองเริ่มนิ่ง นำไปสู่การก่อร่างสร้างประเทศ ‘กีม’ ก็เป็นอีกหนึ่งคน ที่ตัดสินใจเดินทางไกล เข้ามาเป็น ‘แรงงานข้ามชาติ’ อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นแรงงานอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ก่อนจะตัดสินใจมาอยู่ที่ประเทศไทย ในห้วงที่การขยายตัวของอุตสาหกรรมเริ่มเพิ่มขึ้น     

“การที่พี่ต้องไปทำงานประเทศอื่น เพราะอยากนำรายได้กลับมาพัฒนาประเทศของตัวเอง อยากเห็นว่าเขาเป็นยังไง ทำยังไงถึงเจริญขึ้น ไปทำงานก็เจอแต่เถ้าแก่ดีๆ ตลอด แล้วเราก็ไปแบบถูกกฎหมายด้วย ใครมีอะไรให้ช่วยเหลือก็ทำ ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง” 

กีม อธิบาย

‘กิม เทีย’ เข้ามาทำอาชีพค้าแรงงานในไทยเป็นเวลากว่า 12 ปี แล้ว โดยเริ่มจากการเป็นพนักงานภาคอุตสาหกรรมโรงงานสัญชาติญี่ปุ่นอยู่ 2 แห่ง ก่อนจะตกงานเพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และเริ่มต้นใหม่กับงานที่ร้านสะดวกซื้อชุมชนแถวหอพัก  

ช่วงที่มาใหม่ๆ เธอพยายามศึกษาภาษาไทย และทำงานร่วมกับเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ เพื่อผลักดันสิทธิแรงงาน และการช่วยเหลือพี่น้องข้ามชาติ ผ่านกลไกที่จะสามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีเหตุผลจากภาพจำความลำบากในอดีต สมัยสงครามภายในประเทศ 

“ที่สนใจเรื่องสหภาพแรงงานและสิทธิมนุษยชน เพราะตอนเด็กๆ เราเคยเห็นภาพการใช้ความรุนแรงสมัยสงครามกลางเมือง (ยุคเขมรแดง) เราจึงอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มาถึงตอนนี้เราก็ช่วยเหลือพี่น้องได้เยอะ โดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือให้พวกเขาได้มาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย”  

อัตรารายได้ของลูกจ้างข้ามชาติ ประมาณ  12,000 บาทต่อเดือน เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในต่างแดนอย่างพออยู่พอกิน และสามารถส่งเสียเงินให้กับทางบ้านได้บ้างโอกาสสำคัญ หรือยามฉุกเฉิน ซึ่งแตกต่างกับค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศกัมพูชา ที่ปัจจุบันได้อยู่ประมาณ 9,000 บาทไทย 

Please-don't-let-your-parents-fight-each-other-Voices-from-Cambodian-workers-on-Thai-SPACEBAR-Photo02-1.jpg

สิ่งที่ทำให้ทราบทันทีว่าที่ห้องพักแห่งนี้ คือ ‘บ้าน’ ของแรงงานข้ามชาติที่อบอุ่น คือ ‘พระพุทธรูป’ ที่ ‘กีม’ บอกว่าได้จากบิดา ซึ่งเป็นตัวแทนครอบครัว เสมือนได้อยู่ใกล้ญาติพี่น้อง  

ภายในห้อง มีสิ่งต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นชาวกัมพูชาได้อย่างชัดเจน คือ ‘ธงประจำชาติ - ผ้าขาวม้าท้องถิ่น’ และ ‘บทสวดที่ลงอักขระเขมร’ เจ้าของห้องบอกเล่าเพิ่มเติมว่า เป็นบทสวดทางพุทธ ที่พูดถึงเรื่องความเมตตา ซึ่งเธอมักจะใช้สวดท่องเสมอยามคิดถึงบ้าน หรือภาวะที่เผชิญกับภาพจำอันเลวร้าย ตามกรอบทำเนียมของสงคราม ที่มักกลับมาหลอกหลอนผู้ผ่านเหตุการณ์มาโดยตรง 

“ตอนเด็กน้อยพี่จำได้ดี โดยเฉพาะช่วงสงครามกลางเมือง บางทีเราเห็นคนถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา มีเสียงระเบิดดังก้อง จนต้องเอามืออุดหู วิ่งไปหาที่ซ่อนตัวหลบภัย อีกทั้งการกดขี่อย่างไร้มนุษยธรรม ชนิดต่างๆ มันคือสิ่งที่ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่หวาดกลัว และไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก” 

กีม เริ่มกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

Please-don't-let-your-parents-fight-each-other-Voices-from-Cambodian-workers-on-Thai-SPACEBAR-Photo04.jpg

แววตาหวาดกลัวและเสียงสั่นเครือ เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่า ‘สงคราม’ คือ สิ่งที่ ‘ชาวกัมพูชา’ ส่วนใหญ่ไม่พึงปรารถนา แม้ปัจจุบันทุกอย่างจะยุติลงแล้ว แต่การใช้ ‘ความรุนแรง’ ยังคงเป็นสิ่งที่ฝังใจ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องราวชายแดน ที่ส่งทอดความบาดหมางให้เห็นอยู่เรื่อยๆ 

ระหว่างนั้น เธอหันหน้าเข้าหิ้งพระเล็กๆ ก่อนยกมือพนมแบบชาวพุทธ และพึมพำกับตัวออกมาเป็นภาษาไทย ทำนองว่า ขอให้ทั้งรัฐบาลไทย และกัมพูชา ใช้เหตุผลคุยกัน และทำข้อตกลงด้วยแนวทางแห่งสันติ อย่าให้ต้องรบราฆ่าฟันกันอีกเลย

Please-don't-let-your-parents-fight-each-other-Voices-from-Cambodian-workers-on-Thai-SPACEBAR-Photo05-1.jpg

ผมจึงถามต่อทันทีว่า ในภาวะความขัดแย้งเชิงความคิดเช่นนี้ ‘กีม’ ในฐานะแรงงานกัมพูชา ที่มาอาศัยทำกินในประเทศไทย มองสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร เธอหันมา และตอบคำถามโดยไม่ละมือออกจากท่าพนม บอกว่า 

“คนไทยใจดีและมีเหตุผล สำหรับกรณีพิพาทชายแดนพี่ก็ไม่ได้อยู่ข้างใคร เพราะพี่มองว่ากัมพูชาเปรียบเหมือนพ่อ ไทยเปรียบเหมือนแม่ ไม่มีใครอยากเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน พี่รักทั้งสองประเทศ เพราะอีกที่คือถิ่นกำเนิด อีกที่คือแหล่งพักพิงได้ทำมาหากิน”

ในโลกที่ถูกขีดแบ่งด้วยเส้นบนแผนที่ บางครั้งคำตอบของความขัดแย้งอาจไม่ได้อยู่ในห้องเจรจาทางการทูตเสมอไป แต่อยู่ในห้องพักขนาด 20 ตารางเมตรของหญิงแรงงานคนหนึ่ง ที่ยังเชื่อมั่นในความเมตตาของมนุษย์ และหวังว่ารอยร้าวทางภูมิรัฐศาสตร์จะสมานได้ด้วยหัวใจที่ไม่แบ่งแยกสัญชาติ...

Please-don't-let-your-parents-fight-each-other-Voices-from-Cambodian-workers-on-Thai-SPACEBAR-Photo06.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์