








แกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, จตุพร พรหมพันธุ์, พิชิต ไชยมงคล, แก้วสรร อติโพธิ์ และ สมศักดิ์ โกสัยสุข ร่วมกันแถลงท่าทีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์
โดย ปานเทพ รายงานยอดรับบริจาคของกลุ่มรวมพลังฯ ว่าตั้งแต่เปิดรับจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. มียอดรวม 30,771,060 บาท จากผู้บริจาคกว่า 56,200 คน ใช้จ่ายไปแล้ว 2,072,535 บาท ที่เหลือจะนำไปจัดซื้อโดรนลาดตระเวนกลางคืน และอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนกองทัพภาคที่ 2 มูลค่าราว 25 ล้านบาท พร้อมมอบเงินส่วนที่เหลือ ณ ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์
ด้าน จตุพร ประกาศจุดยืนชัดว่า “ไม่เอารัฐประหารและไม่เอาแพทองธาร” พร้อมโจมตีพรรคเพื่อไทย อ้างประชาธิปไตยแต่ไปรับเสียง สว.มาโหวตให้ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ และรวมรัฐบาลกับพรรคที่มาจากคณะรัฐประหาร
เขายังกล่าวถึงพรรคประชาชน ว่า “ไม่แปลกใจ” ที่ในการปรับ ครม. มีตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ถึงสองคน และวิจารณ์การออกแถลงการณ์ขอให้ประชาชนออกจากการชุมนุม พร้อมย้ำว่าการรัฐประหารไม่สามารถเกิดได้จากการกวักมือเรียก แต่เกิดจากเงื่อนไขที่รัฐบาลสร้างขึ้นเอง เช่น รัฐบาลทุจริตฉ้อฉล การแทรกแซงองค์กรอิสระ การสร้างความแตกแยก การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือแม้กระทั้งเรื่องการขายชาติ
อีกทั้งยังตั้งคำถามต่อ “การทำหน้าที่ฝ่ายค้าน” โดยเฉพาะหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ทั้งประเด็นหลบเลี่ยงภาษีตั๋ว P/N การรุกที่ดินเขาใหญ่ หรือกรณีที่ดินสนามกลอ์ฟอัลไพน์ แต่กลับไม่เดินหน้ายื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่มีโอกาส รวมไปถึงท่าทีไม่สนับสนุนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 150 ที่เตรียมเสนอโดยพรรคภูมิใจไทย
ถามจริงๆ คุณเป็นฝ่ายไหนกันแน่ ผมบอกเรื่องนี้ให้คุณไปทบทวน อย่ามาใส่ความประชาชนว่าเขาเรียกร้องรัฐประหาร ถ้าคุณได้ทำหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้าน ปิดประตูการทำรัฐประหารโดยสิ้นเชิง แต่เพราะพรรคประชาชนไม่ทำหน้าที่ ไม่โรยเกลือตามที่ประกาศ แต่ไปโรยสารส้มแทน
— จตุพร กล่าวบางช่วงบางตอน
เขายังประกาศว่า ขณะนี้เครือข่าย คปท. เป็นแนวหน้าเคลื่อนไหวอยู่ที่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ และเตรียมจัดเวทีใหญ่ในต่างจังหวัด โดย “เวทีใหญ่สุดๆ” จะเกิดขึ้นกลางเดือนสิงหาคมนี้
ส่วนเมื่อถามว่า เวทีดังกล่าวจะมีเป้าหมายขับไล่รัฐบาลหรือไม่? จตุพร ระบุว่า “ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” และย้ำข้อเรียกร้องเดิมให้นายกฯ แพทองธารลาออก รวมถึงยืนยัน “ไม่เอารัฐประหารเด็ดขาด” อีกทั้งยังประเมินว่า ความชอบธรรมและเหตุผลของการชุมนุมจะเป็นตัวกำหนดจำนวนมวลชน และประชาชนก็เห็นแล้วว่าในการชุมนุมนั้น “ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา”