คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ของสภาผู้แทนราษฎร นำโดย ‘รังสิมันต์ โรม’ ประธาน กมธ. เดินทางไปสังเกตการณ์สถานการณ์ที่จุดผ่านแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
ก่อนที่ กมธ.มั่นคงฯ จะเดินเข้าด่านผ่านแดน มีกลุ่มประชาชนดักรอยื่นหนังสือร้องเรียนผลกระทบทางด้านการค้าขายชายแดนจากสถานการณ์การควบคุมด่านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยในหนังสือร้องเรียนกล่าวถึงข้อเรียกร้อง 7 ข้อ ขอให้ทบทวนมาตรการปิดด่านตามแนวชายแดน
ระบุว่าการส่งออกสินค้าชายแดนนั้น นอกจากประเทศไทยจะส่งออกไปกัมพูชาแล้ว ยังมีการส่งออกไปเวียดนามด้วย การปิดด่านชายแดนส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตทุกภาคส่วนทั่วประเทศ ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในจังหวัดชายแดนเท่านั้น ประชาชนทั่วไปที่หากินสุจริตได้รับผลกระทบต่อปากท้อง ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าอาหาร ค่าเล่าเรียนลูก และค่าจิปาถะอื่นๆ แต่ในทางกลับกัน แก๊งสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการปรับตัวตั้งแต่วันแรกที่มีมาตรการแล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย คนที่ได้รับผลกระทบกลับกลายเป็นประชาชนที่ทำมาหากินสุจริต ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบโปรดพิจารณาถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย
"ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ทำให้พี่น้องประชาชนที่ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งได้รับผลกระทบไปด้วย เราต้องยอมรับว่าผลกระทบนี้กว้างขวางจริงๆ เพราะการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา มีมูลค่านับแสนล้านบาท เรายอมรับความจริงว่าเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็ต้องมีการเยียวยาช่วยเหลือจากทางรัฐบาลตามมา ผมในฐานะประธาน กมธ. ยืนยันกับพี่น้องว่าจะไปหารือเพิ่มขึ้นกับทางรัฐบาล เพื่อผลักดันให้มีมาตรการรองรับผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนที่เกิดขึ้นไปแล้วและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"
— รังสิมันต์ กล่าว
พร้อมยืนยันว่า ส่วนตัวไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจ เพราะอำนาจตัดสินใจเป็นของรัฐบาล แต่จะทำอย่างดีที่สุด เพื่อเอาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนไปหามาตรการแก้ปัญหาต่อไป ยืนยันว่าภารกิจหลักที่ กมธ. มาวันนี้คือการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เราจะไม่ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี่ง ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา นั่นคือการแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์จะต้องไม่ส่งผลให้พี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจการค้าชายแดนมากขนาดนี้
หลังจากนั้น กมธ. มีการประชุมที่ห้องประชุมศุลกากร เพื่อร่วมพูดคุยกับส่วนราชการในการแก้ไขปัญหาต่อไป โดยก่อนจะมีการประชุม 'รังสิมันต์' ตอบคำถามสื่อมวลชน ยืนยันว่ามีนักการเมืองไทยซุกทรัพย์สินในธนาคารกัมพูชาจริง ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับฮุน เซน ด้วย นอกจากนี้เรายังมีข้อมูลพิกัดศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชากว่า 60 แห่งอีกด้วย
จากนั้นรังสิมันต์ให้สัมภาษณ์หลังประชุมว่า เมื่อไทยมีมาตรการควบคุมด่านและกัมพูชาปิดด่าน เรื่องนี้ไม่มีทางออกนอกจากทั้งสองฝ่ายต้องเจรจากัน ตนจะไปพูดคุยกับรัฐบาลว่าจะมีแนวทางอย่างไร เพราะมีปัจจัยทั้งการเมืองในประเทศและเรื่องศาลโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นแต่ยังเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ได้มีผลต่อโครงสร้างอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งตรงนี้ยังไม่มีการดำเนินการมาก เบื้องต้นได้ให้ข้อมูลกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 7 คนที่เป็นคีย์แมนจัดหานำพาคนไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บางคนเป็นเจ้าของพื้นที่เอกชนให้ความช่วยเหลือแก่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาจต้องใช้กฎหมายฟอกเงินมาจัดการ ทั้งเรื่องเส้นเงิน การยื่นภาษี ฯลฯ ซึ่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ต้องยอมรับว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำลายเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างรุนแรง
เรื่องการแยกเหยื่อแยกอาชญากร เรามีการปรับจูนกันทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม ให้กระบวนการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบันมีคนไทยติดอยู่ที่ปอยเปตขั้นต่ำประมาณ 1,500-2,000 คน โดยโทษปรับกรณีชาวต่างชาติอยู่ในประเทศเกินกำหนด (overstay) ของกัมพูชาหนักกว่าของไทย แถมมีขบวนการเรียกเก็บเงินจากคนไทยที่ overstay ด้วย
เช้าวันนี้ มีทีมที่นำโดย 'รอมฎอน ปันจอร์' สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และ กมธ.ความมั่นคงฯ ได้เก็บภาพและข้อมูลคนที่ลักลอบเข้ามาช่องทางพิเศษซึ่งไม่ใช่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พวกเขาเลือกช่องทางนี้เพราะโดนรีดไถหมดแล้ว ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ อาจมีคนที่มีปัญหาลักษณะนี้อีกมากที่ติดค้างอยู่ที่ฝั่งกัมพูชา ซึ่งต้องคุยกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป