เหตุประท้วงต่อต้านปฏิบัติการจับกุมผู้อพยพในลอสแองเจลิสของสหรัฐฯ เป็นไปอย่างดุเดือด จนทางการสหรัฐฯ ตัดสินใจส่งกองกำลังป้องกันชาติ 300 นายเข้าควบคุมสถานการณ์
1.รัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ออกนโยบายกวาดล้างผู้ประท้วงทั่วประเทศ โดยทำเนียบขาวตั้งเป้าให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (U.S. Immigration and Customs Enforcement-ICE) จับกุมผู้อพยพอย่างน้อยวันละ 3,000 คน
2.เมื่อวันศุกร์ (6 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ ICE ปฏิบัติตามหมายจับด้วยการบุกตรวจโรงงานผลิตเสื้อผ้าหลายแห่ง รวมทั้งในย่านแฟชันดิสทริคของลอสแองเจลิส แล้วจับกุมผู้อพยพ 118 คนรวมทั้ง 5 คนที่เชื่อมโยงกับองค์กรอาชญากรและบุคคลที่มีประวัติอาชญากรรม หลังผู้พพากษาพบข้อเท็จจริงที่น่าจะเป็นไปได้ว่านายจ้างใช้เอกสารปลอมสำหรับพนักงานบางคน เหตุตึงเครียดเริ่มขึ้นเมื่อฝูงชนพยายามขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ขับรถออกไป
3.ในเวลาต่อมาผู้ประท้วงไปรวมตัวกันด้านนอกสถานกักกันของรัฐบาลกลาง หลังมีข่าวลือในกลุ่มผู้ประท้วงว่าผู้อพยพที่ถูกจับตัวมาถูกนำตัวมาไว้ที่นี่ บางคนตะโกน “ปล่อยพวกเขา ให้พวกเขาอยู่ต่อ!” รวมทั้งมีการพ่นสีตามอาคารต่างๆ ฝั่งเจ้าหน้าที่ถือโล่เรียงแถวป้องกันไม่ให้ผู้ประท้วงเข้าไปในอาคาร เจ้าหน้าที่บางรายโยนกระป๋องแก๊สน้ำตาเข้าไปในกลุ่มผู้ประท้วง

4.วันเสาร์เกิดการประท้วงขึ้นในเมืองพาราเมาต์หลังเจ้าหน้าที่ ICE จับกุมผู้อพยพผิดกฎหมายอีกจำนวนหนึ่ง ตำรวจตระเวนชายแดนพร้อมชุดควบคุมจลาจลและหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตายืนเฝ้าบริเวณนอกเขตอุตสาหกรรมในเมืองพาราเมาต์ และยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้คนที่อยู่แถวนั้นและผู้ประท้วงที่รวมตัวกันอยู่บนเกาะกลางถนนและอีกฝั่งถนน ผู้ประท้วงส่วนหนึ่งเผาขยะและต้นไม้กลางถนนจนต้องปิดถนน ก่อนจะพากันไปรวมตัวด้านหน้าอาคารของรัฐบาลกลางและศูนย์กักตัวอีกครั้ง ผู้ประท้วงบางส่วนขว้างก้อนหินและวัตถุอื่นๆ ใส่ยานพาหนะของเจ้าหน้าที่ การประท้วงยังลามไปถึงเมืองคอมป์ตันที่อยู่ใกล้เคียง
5.คืนวันเสาร์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งให้ส่งกองกำลังป้องกันชาติ (National Guard) อย่างน้อย 2,000 นายไปที่ลอสแองเจลิส “เป็นเวลา 60 วัน หรือตามดุลยพินิจของกระทรวงกลาโหม” นับเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีเรียกใช้กองกำลังป้องกันชาติเพื่อบังคับใช้กฎหมายหรือเมื่อเกิดการก่อความไม่สงบ โดยที่รัฐบาลมลรัฐไม่ได้ร้องขอนับตั้งแต่ปี 1965 ที่ประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอร์แดน ในขณะนั้นใช้กองกำลังป้องกันชาติเพื่อปกป้องผู้ประท้วงเรียกร้องสิทธิพลเมืองในรัฐแอละแบมา
6.กองกำลังป้องกันชาติมีสถานะคล้ายทหารกองหนุน โดยจะได้รับการฝึกฝนอยู่เสมอ และจะถูกเรียกเข้าประจำการเมื่อจำเป็นเท่านั้น อาทิ ในเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ และในสถานการณ์ความไม่สงบในบางครั้ง แต่ในกรณีนี้ส่วนใหญ่ต้องได้รับความยินยอมจากรัฐบาลท้องถิ่นก่อน
7. มีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยที่ทรัมป์ส่งกองกำลังป้องกันชาติเข้าคุมสถานการณ์ แกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียเผยผ่าน X ว่า “เราไม่มีปัญหาจนกระทั่งทรัมป์เข้ามาเกี่ยวข้อง นี่เป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของมลรัฐอย่างร้ายแรง ทำให้เกิดความตึงเครียด ทั้งยังแย่งทรัพยากรมาจากที่ที่จำเป็นจริงๆ ยกเลิกคำสั่งนี้ คืนการควบคุมให้แคลิฟอร์เนีย” นอกจากนี้ ทั้งนิวซัมและ แคเรน เบส นายกเทศมนตรีของลอสแองเจลิส กล่าวหาทำเนียบขาวว่า นำสถานการณ์นี้มาเป็นเรื่องการเมือง และว่า มีเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นมากเพียงพอที่จะจัดการกับการประท้วงได้อยู่แล้ว

8.กองกำลังป้องกันชาติกลุ่มแรกราว 300 นายเดินทางถึงลอสแองเจลิสในวันอาทิตย์ บางส่วนเข้าประจำการที่ศูนย์กักกัน ซึ่งกรมตำรวจลอสแองเจลิสนำตัวผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมเมื่อวันเสาร์มาไว้ที่นั่น การประท้วงปะทุขึ้นอีกครั้งจนเจ้าหน้าที่ต้องใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางต่อผู้ชุมนุมที่รวมตัวบนถนน ผู้ประท้วงจุดไฟเผารถยนต์ไร้คนขับของบริษัท Waymo อย่างน้อย 3 คัน อีก 2 คันถูกทำลาย
9.ทรัมป์ให้สัมภาษณ์หลังเริ่มมีกระแสข่าวว่าการประท้วงจะลุกลามไปยังเมืองอื่นๆ โดยชี้ว่าคนเหล่านี้มีความรุนแรง และต่อจากนี้จะได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายที่แข็งกร้าว ก่อนจะขู่ว่า สหรัฐฯ มีทหารอยู่ทุกที่ และจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ “มีคนใช้ความรุนแรง เราจะไม่ยยอมให้คนพวกนี้หนีรอดไปได้ ผมคิดว่าเราอาจได้เห็นกฎหมายและระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น...เราอาจได้เห็นทหารอยู่ทุกที่ เราจะไม่ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับประเทศของเรา”
10.หน่วยบัญชาการทหารสหรัฐฯ ภาคเหนือระบุว่า อาจส่งนาวิกโยธิน 500 นายลงพื้นที่ควบคุมสถานการณ์เพิ่มเติมหากมีความจำเป็น โดยอำนาจการตัดสินใจเป็นของรัฐบาลกลาง
Photo by RINGO CHIU / AFP