พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วย พลอากาศเอกพันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ร่วมพิธีส่งกำลังพลชุดช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา โดยกองทัพไทย ผลัดที่ 2 เพื่อเดินทางไปปฏิบัติภารกิจสนับสนุนการช่วยเหลือประเทศเมียนมาจากเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยใช้ชื่อยุทธการ “มัณฑะเลย์ 82” ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ
โดยก่อนเดินทาง พลเอกทรงวิทย์ ได้นำกำลังพลล้อมวงคุย เพื่ออธิบายการทำงานและความยากง่ายในการปฏิบัติงาน พร้อมขอบคุณที่เสียสละที่จะเดินทางไปในวันนี้ โดยทางประเทศเมียนมายังคงต้องการทีมแพทย์และวิศวกรที่จะตรวจสอบโครงสร้าง เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่นอกบ้านสามารถกลับเข้าไปอยู่ในที่อาศัยได้ โดยจะไม่เน้นซ่อมแซม แต่เป็นการเน้นสร้างที่อยู่อาศัยใหม่แบบชั่วคราว หรือสิ่งปลูกสร้างกึ่งถาวร
พร้อมกับฝากว่า “ในพื้นที่มีความวิกฤต เวลาที่ตั้งใจจะไปทำดีอะไร ก็จะมีสิ่งที่เข้ามารบกวน เพราะฉะนั้น เรื่องของความปลอดภัยต้องไม่ประมาท จึงต้องมีผู้บังคับบัญชาที่ชัดเจน และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยดูแล ซึ่งเป็นทีมจากศูนย์ต่อต้านก่อการร้าย โดยหลังจากนี้ ตั้งใจจะส่งกำลังพลไปอีก 2 ผลัด”
ซึ่งวันนี้ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางร่วมคณะ เพื่อไปเจรจากับทางการเมียนมา ซึ่งจะเป็นการดำเนินการแบบคู่ขนาน ที่จะตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ หรือ AHA Centre โดยจะใช้พื้นที่ของกองทัพอากาศเป็นจุดกระจายสิ่งของให้ความช่วยเหลือไปยังประเทศเมียนมา
พลเอกทรงวิทย์ ได้ให้กำลังใจกำลังพล พร้อมกับระบุว่า “เราต้องข้ามผ่านหลาย ๆ เรื่อง และขอให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างทหารมืออาชีพ เมื่อมีเหตุพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ทันที ซึ่งงานนี้หัวใจหลักมีเพียงอย่างเดียวคือ มนุษยธรรม ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่นับว่าเป็นชาติใด นับเป็นหัวใจของกองทัพที่สำคัญที่สุด และสิ่งที่สามารถตอบความสำเร็จของภารกิจได้ คือ ทำแล้วมีความสุข เหมือนกับหลายชาติที่มาช่วยเหลือประเทศไทยในเหตุการณ์โครงสร้างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ถล่ม ซึ่งวันนี้จะเป็นหน้าที่ของเราในการส่งต่อพลังใจไปสู่เพื่อนบ้าน”
“และผลัดนี้เป็นการส่งต่อสู่การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟู จึงอยากให้ทุกนายเข้าใจเจตนารมณ์ของตนเองและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือกัน โดยเฉพาะทหารจากกลุ่มประเทศอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นประเทศมาเลเซีย หรือสิงคโปร์ ซึ่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซียก็ได้แจ้งให้ตนเองทราบว่า ขณะนี้ได้ทำการช่วยเหลือกู้ภัยในพื้นที่ไปแล้วกว่า 75%”
พร้อมย้ำในช่วงท้ายว่า การกู้ภัยในครั้งนี้ไม่มีปัญหาอุปสรรค เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับทีมกู้ภัยของประเทศต่าง ๆ เนื่องจากเคยผ่านการฝึกร่วมกันมาแล้ว
สำหรับการเดินทางครั้งนี้นับเป็นผลัดที่ 2 โดยมีกำลังพลผลัดละ 55 นาย แบ่งออกเป็น
- ส่วนกองบังคับการควบคุม 5 นาย
- ส่วนประสานงาน 4 นาย
- หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน MERT 22 นาย
- ช่างโยธา 12 นาย
- หน่วยค้นหาและช่วยเหลือ 6 นาย
- หน่วยสนับสนุนทั่วไป 6 นาย
- หน่วยรักษาความปลอดภัย 6 นาย
เพื่อไปปฏิบัติภารกิจเป็นเวลาประมาณผลัดละ 8 วัน โดยมีภารกิจหลักอยู่ 2 อย่าง คือ
- ภารกิจทางการแพทย์ที่ต้องให้ความช่วยเหลืออย่างน้อย 100 คนต่อวัน
- ภารกิจทางการช่างที่ต้องสร้างที่พักพิงชั่วคราว 30 หลังต่อวัน