ผู้สื่อข่าวรายงานการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ โดยมี มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอให้ชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จนกว่าจะมีคำตัดสินในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวนมากตกเป็นผู้ถูกร้องและผู้ร้อง
โดยญัตติดังกล่าว ได้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อนวาระเดิมที่จะมีการตั้งกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ และให้ความเห็นชอบตำแหน่งต่าง ๆ ดังกล่าว
เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะผู้เสนอญัตติ อภิปรายถึงเหตุผลของการเสนอญัตติ ว่า ขอยืนยันหลักการทับซ้อนแห่งผลประโยชน์ เพราะ สว.จำนวนมากกำลังเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ทั้งโดย กกต. หรือกระทั่ง ป.ป.ช. แม้จะยังมีสถานะเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ซึ่งญัตติดังกล่าวยังเกิดจากสิ่งที่ สว.หลายคนกรุยทางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบบทบาทของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่มาแทรกแซงกระบวนการได้มาซึ่ง สว.
รวมถึงเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา มี สว. 13 คน ลาออกจากกรรมาธิการสอบประวัติฯ ผู้ได้รับเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช. เพื่อเป็นการป้องกันประเด็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่กับประเด็นการร้องทุกข์กล่าวโทษที่ได้ร้องไว้และอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.
เมื่อ สว. คำนึงถึงปัญหาการแทรกแซงกระบวนการและปัญหาการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ในวันนี้ที่ สว. กำลังจะใช้สถานะผู้ให้ความเห็นชอบใน 3 องค์กรอิสระ ซึ่ง สว.จำนวนมากกำลังตกเป็นคู่กรณี ทั้งในฐานะผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องก็ตาม ดังนั้น จึงหนีไม่พ้นที่จะมองว่า เรื่องที่ดำเนินการอยู่นี้ผิดหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์
— เทวฤทธิ์ มณีฉาย
พร้อมเรียกร้องว่า ไม่ควรปล่อยให้ สว.ทั้ง 13 คน ซึ่งได้ลาออกจากกรรมาธิการฯ ต้องเดินตามหลักการอย่างโดดเดี่ยว เพราะพวกเขานำทางไว้ให้แล้ว ส่วนข้อกังวลที่ว่าจะเกิดสุญญากาศหากไม่มีคนเข้าไปทำงานในองค์กรอิสระต่าง ๆ นั้น ขอย้ำว่า เราไม่ได้ชะลอตลอดไป เพียงแค่ในช่วงที่มีการตรวจสอบ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนก็น่าจะแล้วเสร็จ ระหว่างนั้นยังสามารถรักษาการในตำแหน่งได้ ก็ขอให้สมาชิกคำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาระหว่างการเดินหน้าต่อหรือชะลอไปก่อน
ขณะที่ นันทนา นันทวโรภาส สว. ลุกขึ้นอภิปรายต่อญัตติดังกล่าว ว่า หากไม่บรรจุวาระการเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. และวาระการตั้งกรรมาธิการสามัญพิจารณาคุณสมบัติองค์กรอิสระอย่างเร่งรีบในสมัยประชุมวิสามัญนี้ เราคงไม่ต้องพิจารณาญัตตินี้ในวันนี้ เมื่อมีการบรรจุญัตตินี้แล้วก็หวังว่าสมาชิกทุกคนจะเปิดใจกว้าง รับฟังเหตุผลและเสียงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ จนนำไปสู่การลงมติเห็นชอบให้มีการชะลอการลงมติใด ๆ เกี่ยวกับองค์กรอิสระออกไป
แต่คำถามสำคัญคือ ทำไม สว. ต้องชะลอการลงมติเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ สว. กว่าครึ่งของสภาฯ กำลังถูกแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งโดยมิชอบ โดย กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กำลังตรวจสอบอยู่ แม้ตามหลักกฎหมายจะถือว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถือว่าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว เป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
หาก สว. ลงมติเห็นชอบ กกต. จะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ เลือกคนเข้ามาตรวจสอบคดีของตนเองหรือไม่ อย่างนี้จะเรียกว่ามีธรรมาภิบาลหรือไม่ หรือเป็นเรื่องต่างตอบแทนกัน
— นันทนา นันทวโรภาส
ส่วนกรณีที่ สว. จำนวน 92 คน ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิดกับ รมว.ยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 จากนั้นก็มีกลุ่ม สว.สำรอง ยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบจริยธรรมของ สว. 92 คน ข้อหาใช้อำนาจนิติบัญญัติก้าวก่ายการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
เมื่อท่านเป็นผู้ถูกร้อง มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง แต่ท่านจะยังใช้สถานะ สว. คัดเลือก ป.ป.ช. จำนวน 3 คน เพื่อเข้าไปวินิจฉัยคดีของท่านอีกหรือ จะเป็นธรรมต่อผู้ร้องและผู้ถูกร้องหรือไม่ หากท่านชนะคดีทั้งหมด คู่กรณีและประชาชนจะคิดอย่างไร
— นันทนา นันทวโรภาส
นันทนา กล่าวอีกว่า ขณะที่กรณี สว. 92 คน ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตรวจสอบรองนายกรัฐมนตรี รวมถึง รมว.ยุติธรรม ในข้อหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ถอดถอนจากตำแหน่ง และขอให้ศาลฯ สั่ง รมว.ยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่ ท่านเป็นผู้ร้อง แล้วมาเห็นชอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 รายเข้าไปดำรงตำแหน่ง ในขณะที่ท่านเป็นโจทก์อยู่ จะเท่ากับว่าเป็นการเลือกผู้พิพากษามาตัดสินคดีของตนเองหรือไม่ จะเป็นธรรมต่อฝ่ายจำเลยหรือไม่
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ สว. จำเป็นต้องชะลอการลงมติในการเลือกองค์กรอิสระและชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาคุณสมบัติออกไปจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เพราะหากดึงดัน สังคมจะมองว่าท่านใช้สถานะ สว. เพื่อประโยชน์แห่งคดีของตนโดยแท้ ท่านอาจโต้แย้งเรื่องข้อกฎหมายว่า ไม่มีกฎหมายใดเปิดช่องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นบางส่วนได้ หรืออาจมีผู้ร้องว่า สว. ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157
แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 93 ปีของประชาธิปไตยไทยที่ สว. ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเกินครึ่งสภาฯ ย่อมไม่มีกฎหมายไหนตามทัน เพราะเป็นเรื่องใหม่เพิ่งเกิดขึ้นในรุ่นนี้ เมื่อกฎหมายตามไม่ทันก็ต้องใช้จิตสำนึกและจริยธรรม
นันทนา กล่าวต่อไปว่า ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้เสนอทางออกไว้ กฎหมายไม่ได้เขียนห้ามก็จริง แต่ประเด็นที่ละเอียดกว่ากฎหมาย สมควรทำหรือไม่ มันจะฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่ ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นที่คิดว่าไม่มีปัญหามันจะเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว เวลาตรวจสอบบุคคลที่ทำหน้าที่สำคัญต้องตรวจสอบทางจริยธรรมว่าเป็นแบบอย่างได้หรือไม่ เมื่อเราจะตรวจสอบเขา การตรวจสอบต้องมีมาตรฐานจริยธรรม
เพราะฉะนั้นเพื่อความรอบคอบควรเลื่อนภารกิจนี้ไปก่อน เพราะคนในองค์กรอิสระยังทำงานได้อยู่ ไม่ได้มีเหตุว่าถ้าไม่ผ่านภายในวันนี้ เดือนนี้จะเกิดสุญญากาศ
ทั้งหมดเป็นคำแนะนำของปรมาจารย์ด้านกฎหมาย ที่ชี้ทางให้ สว. ทั้งหลายชะลอการทำหน้าที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระออกไปก่อน เพื่อความสง่างามของการดำรงตำแหน่ง สว. และเพื่อไม่ให้การลงมติในวันนี้สร้างปัญหาต่อประเทศชาติและต่อตัวท่านเอง ทั้งนี้ สว. กลายเป็นเรื่องโด่งดังที่ประชาชนพากันจับตาว่า จุดจบของคดีนี้จะเป็นอย่างไร หากท่านทั้งหลายไม่ปิดหูปิดตาตนเอง ท่านย่อมทราบดีว่าขณะนี้ประชาชนจำนวนมากกล่าวขานถึง สว. ชุดนี้อย่างไร เขาคลางแคลงใจต่อที่มาของ สว. ชุดนี้มากเพียงใด
— นันทนา นันทวโรภาส
นันทนา กล่าวด้วยว่า ท่านทั้งหลายอาจฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนได้ ด้วยการแสดงให้เห็นว่าการดำรงตำแหน่ง สว. ของท่านไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์แห่งตนหรือพวกพ้อง ด้วยการชะลอลงมติใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เมื่อท่านบริสุทธิ์ก็จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากท่านยังดึงดันที่จะลงมติเลือกองค์กรอิสระต่อไป โปรดรู้ไว้ว่าการกระทำของท่านได้ฝืนความรู้สึกของประชาชน และประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศย่อมมีสิทธิ์ที่จะยื่นตรวจสอบจริยธรรมท่านที่ลงมติในวันนี้ด้วย