คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จัดเสวนาที่รัฐสภาในหัวข้อ “การถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย : เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร” โดยเชิญวิทยากร คือ
- วีพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญด้านปราสาทต่าง ๆ
- คำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา
- ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
มาแลกเปลี่ยนความเห็นถึงทางออกของสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนไทย - กัมพูชา
โดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธาน กมธ. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า “หลัง กมธ.การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ประณามกัมพูชาที่ไร้ความจริงใจในฐานะเพื่อนบ้าน และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนไทย พร้อมลงพื้นที่ในวันที่ 9–10 มิ.ย. ให้กำลังใจแก่ทหารหาญกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ทั้งจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อดทน เพราะมีประเด็นสะสมความตึงเครียดซับซ้อนมายาวนาน จะดำเนินการใด ๆ ต้องความรอบคอบ รัดกุม”
จากนั้น คำนูณ กล่าวว่า “ช่วงท้ายสมัยที่เป็น สว. ได้ขอเปิดอภิปรายเรื่องข้อพิพาททางทะเล เพื่อบันทึกไว้ว่า สว. เคยอภิปรายในเรื่องนี้ ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ก็เกิดเรื่องทางบกขึ้นมาอีกแล้ว ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัยเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เคยมีมติกำชับให้ทุกหน่วยงาน เวลาติดต่อเรื่องต่าง ๆ ให้ทำบันทึกสงวนความเห็นไว้ว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ)”
เหตุการณ์เมื่อ 28 พ.ค. 2568 ผมเชื่อว่าเป็นมุกเดิมของกัมพูชาที่เขาทำมาตลอด คือการโต้แย้งเรื่องเขตแดนกับไทย แล้วเกิดเป็นเหตุกระทบกระทั่งกัน จะเป็นเหตุธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติก็แล้วแต่ สุดท้ายคุยกันไม่รู้เรื่อง กัมพูชาก็พาไปศาล ICJ ประเทศไทยมีบทเรียน แต่ไม่ค่อยเรียนรู้ และไม่เคยจดจำ อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดซ้ำซากขึ้นมา ผมพยายามเตือนความทรงจำว่า ไทยไม่รับอำนาจศาล ICJ ถือเป็นเรื่องตลกร้ายมากที่ประเทศไทยไม่เคยได้รับอำนาจศาล ICJ นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2489 แล้วทำไมเราต้องแพ้ถึง 2 ครั้ง
— คำนูณ สิทธิสมาน
“โดยก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีองค์การสันนิบาตชาติ หรือ ศาลโลกเก่า (Permanent Court of International Justice: PCIJ) ประเทศไทยประกาศรับอำนาจศาลโลกเก่านี้ โดยการรับอำนาจจะทำได้คราวละ 10 ปี และต่ออายุ ประเทศไทยต่ออายุไป 2 ครั้ง ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ศาลโลกเก่าก็หายไปและเกิดศาล ICJ ขึ้น ซึ่งมันเกิดความพิสดารมากในปี 2493 รัฐบาลไทยขณะนั้นประกาศทำหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติว่าต่ออายุศาลโลกเก่า PCIJ อีก”
“จากนั้น 11 ปีต่อมา จึงนำความเจ็บปวดมาสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2502 กัมพูชาฟ้องไทยต่อศาล ICJ ในประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร จากนั้น ศาลก็พิจารณาในปี 2504 ว่า ถึงประเทศไทยจะบอกว่า รับอำนาจศาล PCIJ แต่ไม่ได้รับศาล ICJ แต่เขาก็เขียนไว้เจ็บปวดว่า ในขณะนั้นไม่มีศาล PCIJ แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลไทยจะไม่รู้ จึงเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องการยอมรับอำนาจศาลนี้ ไปหมดลงปี 2503 แต่กัมพูชาฟ้องเราก่อนที่จะหมดอายุ 7 เดือน จากนั้น ไทยกับศาลโลกขาดจากกัน”
“เมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อปี 2554 กัมพูชาก็ยื่นคำร้องให้ศาล ICJ ตีความอีกครั้ง เหตุการณ์นี้จะพูดว่าแพ้ก็ไม่ตรงความจริงนัก แต่เอาเป็นว่าไม่ชนะก็แล้วกัน และกัมพูชาก็ไม่ชนะ แต่เราเสียดินแดนเพิ่มขึ้น จึงเป็น 2 เหตุการณ์ที่เราไม่สามารถไปศาล ICJ ได้ ถ้าไปอีก ผมก็เชื่อมั่นว่าโอกาสชนะมีน้อย”
พร้อมเผยถึง 5 ข้อสังเกต ได้แก่
1. ศาล ICJ ใช้หลักกฎหมายปิดปากไทยใน 2 กรณี คือระบุว่าไทยยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้น และกรณีที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร
2. ศาล ICJ ให้ถือว่าการแสดงเจตนารมณ์ของไทยในฐานะคู่สัญญาสำคัญกว่าเนื้อหาหลักของสนธิสัญญา มันชัดเจนว่าแผนที่ระหว่างระวางพนมดงรักไม่สัมพันธ์กับสันปันน้ำเลย แต่ศาลถือว่าการแสดงออกของไทยเราสำคัญกว่าเนื้อหาหลัก
3. การที่ศาล ICJ พิพากษาให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยในพื้นที่พิพาท ถ้าเราบกพร่องจริง แต่โทษที่เราได้รับต้องสูญเสียอธิปไตย ในทางกฎหมายต้องตั้งคำถามว่าให้สัดส่วนกันหรือไม่
4. ศาล ICJ เลือกให้น้ำหนักกับปัจจัยอื่นมากกว่าเนื้อหาหลัก โดยเฉพาะที่เป็นโทษกับประเทศไทยด้านเดียว โดยไม่ได้ชั่งน้ำหนักให้ปัจจัยอื่นที่อาจจะเป็นคุณกับฝ่ายไทย
5. ตลอดเวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ให้แล้วว่าคำพิพากษาของศาล ICJ ไม่ส่งผลดีกับใครเลย ถ้าผมจะพูดว่าคำวินิจฉัยศาล ICJ เปรียบเสมือนฆาตกรที่ฆ่าคนมาอย่างเลือดเย็นเกือบครึ่งศตวรรษ
ด้าน ดุลยภาค กล่าวว่า “กัมพูชาเตรียมการมานาน ใช้ยุทธศาสตร์หลายขา กดดันประเทศไทยหลายมิติทั้งเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ การเคลมมรดกทางวัฒนธรรม และใช้การเมืองภายในประเทศสัมพันธ์กับการเมืองระหว่างประเทศ สร้างความได้เปรียบในระบอบฮุน มาเนต มีเป้าหมายสูงสุดคือทำทุกวิถีทางเพื่อให้กัมพูชามีอาณาเขตเพิ่ม”
พร้อมชี้ให้เห็นถึงลักษณะนโยบายต่างประเทศของกัมพูชา เช่น “ในวันที่ 29 พ.ค. นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต โพสต์เฟซบุ๊กว่า ‘กัมพูชาขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอัตลักษณ์อาณาเขต และสามารถใช้กองกำลังเข้าไปพิทักษ์อัตลักษณ์เชิงพื้นที่ของกัมพูชาด้วย’ คำนี้เป็นดาบสองคม และเป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ คำว่า ‘อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต’ หมายถึงการขยายอาณาเขตโดยการเอาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมใส่เข้าไป คือ ถ้ารู้สึกว่ามีดินแดนหนึ่งน่าจะเป็นของเขา จะใส่อารมณ์ความรู้สึก ใส่อัตลักษณ์ที่คิดว่าเป็นของเขาเข้าไปผูกติดพันธนาการกับพื้นที่นั้น”
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่น กระแสเคลมโบเดีย ที่คนเขมรอ้างมรดกทางวัฒนธรรมเป็นของตนฝ่ายเดียว ทั้งกรณีชุดไทย หรือเล่นโขน คนเขมรเคลมว่า ประเทศไทยขโมยมรดกทางวัฒนธรรมของเขา กัมพูชาได้ประโยชน์กับชาตินิยมประเภทนี้มาก แต่ข้อเสียคือนำไปสู่ความเกลียดชังในหมู่ชนชาติต่าง ๆ จะทำให้เกิดลัทธิเกลียดชังระแวงชาวต่างชาติ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ แนวคิดแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อการบูรณาการอาเซียน หรือขัดต่อหลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติของเพื่อนบ้าน เราต้องโน้มน้าวอาเซียนให้เห็นอันตรายตรงนี้ ทุกครั้งที่เกิดปัญหาที่บริเวณเขตแดนแล้วมีความตึงเครียดระหว่างประเทศ ฮุน เซน จะออกโรงมาอย่างชัดเจน ใช้เกมยั่วยุ และมีการนำชาตินิยมที่มองเพื่อนบ้านเป็นศัตรู ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชา มาเป็นผลดีต่อคะแนนนิยมของระบอบของเขาเอง
— ดุลยภาค ปรีชารัชช
ดุลยภาค กล่าวอีกว่า “อาเซียน เรามีกลไกที่จะยับยั้งความขัดแย้งได้โดยไม่ต้องเร่งรัดไปถึงศาลโลก แต่สิ่งที่กัมพูชาทำคือให้น้ำหนักเบากับอาเซียนและไปสู่ศาลโลกเลย หรือไปหาฝรั่งเศส ดังนั้น ประเทศไทยน่าจะลากกัมพูชามาพูดกันก่อนว่า MOU 43 ที่กัมพูชาเข้าไปขุดคูเลตและฝังกลบเรียบร้อยแล้ว การพูดคุยใน JBC หรือในเวทีอื่น เพื่อวางการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหาร และเคารพกรอบ MOU 43 ภาพที่กัมพูชาเข้าไปขุดคูเลตและฝังกลบเป็นภาพฟ้องอยู่แล้ว ว่ากัมพูชามีอะไรบางอย่างที่ละเมิดหลักข้อตกลง”
ผมแนะนำว่า ให้นำเรื่องของ ‘อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต’ เข้าไปพูดคุยในชุมชนระหว่างประเทศ และประณามกัมพูชา ว่าคิดแบบนี้อันตราย เพราะในโลกทุกวันนี้ไม่มีประเทศไหนคิดแบบนี้กันแล้ว ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชากำลังตกขอบโลกในมุมคิดของระเบียบสากล สุดท้าย ผมขอฝากรัฐบาล วุฒิสภาว่า เราจะต้องร่วมมือกันตอบโต้กัมพูชา วุฒิสภาต้องมีวุฒิสภาการทูตที่จะตอบโต้กับวุฒิสภาของกัมพูชาด้วย เพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจและทบทวนพฤติกรรมของกัมพูชา แต่เหนือสิ่งอื่นใด รัฐบาลควรต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจว่าด้วยการวางยุทธศาสตร์ไทยกับกัมพูชาได้แล้ว และแยกเป็นหลายด้าน
— ดุลยภาค ปรีชารัชช
ช่วงท้าย คำนูณ กล่าวเสริมถึงความสัมพันธ์ของ 2 ครอบครัวชินวัตรและตระกูลฮุน ว่า “การเมืองภายในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศในตอนนี้แทบไม่เหลื่อมกันแล้ว และเชื่อว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายด้วยความยากลำบาก เพราะต้องยอมรับว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่เชื่อรัฐบาล เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำรัฐบาลด้วยกัน มองในข้อดีก็มี ถ้ามองในข้อเสียก็มี และท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาและไทยต่างกันตั้งแต่ต้น”
พ่อลูกฮุน พูดแรงทุกวันจนถึงวันนี้ แต่ของเรารัฐบาลพูดน้อยมาก บอกว่าพูดมากไปไม่ดี แต่คนนอกรัฐบาลที่ออกมาพูดบางทีก็ทำให้ดูแย่ ผมเชื่อว่าทหารในพื้นที่เจ็บปวดที่มาบอกว่าเอาพื้นที่ตรงนั้นมาทำสนามตะกร้อ แต่ยังมีทหารเสียชีวิต ผมว่าไม่ค่อยเหมาะ ล่าสุดที่ทางการกัมพูชาบอกว่าไม่ต้องพึ่งพาไฟและอินเทอร์เน็ตจากไทย เพราะมีพร้อมแล้ว เขาทำก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย–กัมพูชา (JBC) เราจะเดินอย่างไรต่อ เข้าใจว่าเขาพยายามยั่วยุ เราไม่อยากเห็นท่าทีของผู้นำประเทศอ่อนเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้เป็นชนวนทำให้เกิดการปะทะให้เสียเลือดเสียเนื้อขึ้นมา เพราะจะเป็นสิ่งที่เขาจะลากเอาศาลโลกหรือสหประชาชาติเข้ามา เพราะกระแสชาตินิยมขึ้นแล้วลงยาก ขอชื่นชมกองทัพยุคนี้ที่มีวุฒิภาวะสูง มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถหน้างาน
— คำนูณ สิทธิสมาน