หุ้นไทยบวก 2 วันติด! แต่เศรษฐกิจยังน่าห่วง นักวิเคราะห์ ชี้เครื่องยนต์ดับทั้งระบบ

11 มิ.ย. 2568 - 07:39

  • หุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัวยั่งยืน แม้มีแรงซื้อจากต่างชาติ แต่มูลค่าซื้อขายต่ำ สะท้อนความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน

  • เศรษฐกิจไทยตกหลังเพื่อนบ้าน GDP ไทยโตเพียง 1.8% ขณะประเทศเพื่อนบ้านโต 4-5% การท่องเที่ยวชะลอตัว นักท่องเที่ยวจีนลด

  • คาด กนง.ลดดอกเบี้ยต่อ – โอกาสหุ้นธนาคาร และกลุ่ม Non-Bank ยังน่าลงทุน

หุ้นไทยบวก 2 วันติด! แต่เศรษฐกิจยังน่าห่วง นักวิเคราะห์ ชี้เครื่องยนต์ดับทั้งระบบ

แม้ดัชนีหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวบวกได้ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 พร้อมแรงซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติที่มากกว่า 1,000 ล้านบาทในวันก่อนหน้า แต่ วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ยังมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอ และตลาดทุนยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

หุ้นไทยยังเปราะ แม้แรงซื้อจากต่างชาติกลับมา

วทัญระบุว่า แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีแรงบวกระยะสั้นจากกระแสข่าวการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ และสัญญาณบวกจากตลาดหุ้นเอเชีย แต่โดยรวมยังไม่ถือเป็น “การฟื้นตัวอย่างยั่งยืน” เพราะมูลค่าการซื้อขายในตลาดยังต่ำมาก เฉลี่ยเพียง 29,000 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมที่เคยสูงถึงระดับ 70,000–100,000 ล้านบาท

“ต่อให้ต่างชาติเข้ามาซื้อก็จริง แต่ถ้าดูมูลค่าซื้อขายจริง ๆ ยังต่ำมาก แสดงว่านักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐาน”

ตัวเลขท่องเที่ยวสะท้อนความเปราะบาง – นักท่องเที่ยวจีนลดลง

ข้อมูลล่าสุดยังสะท้อนถึงปัญหาในภาคท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 8 มิ.ย. 2568 ลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นอันดับหนึ่ง กลับตกลงมาอยู่ในอันดับสอง รองจากมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายน้อยกว่า

“นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายมากกว่า แต่วันนี้กลับลดลง สะท้อนถึงปัจจัยลบหลายอย่าง ทั้งแผ่นดินไหว ความไม่มั่นใจในความปลอดภัย การโกงราคาโดยแท็กซี่ ซึ่งกระทบการท่องเที่ยวไทยโดยตรง”

เศรษฐกิจไทยยังท้าทาย - World Bank ปรับประมาณการ GDP

World Bank เพิ่งปรับลดประมาณการ GDP โลกเหลือ 2.3% และคาดการณ์ GDP ไทยโตเพียง 1.8% ขยับขึ้นเล็กน้อยจากที่เคยประมาณการไว้ที่ 0.2% ในเดือนเมษายน

"ปัจจัยพื้นฐานบ้านเราเองยังไม่มีภาพชัดเจนว่าดีขึ้น เศรษฐกิจไทยยังตัน ไม่สามารถไปไหนได้ไกลซึ่งเศรษฐกิจไทยยังโตได้แค่ 1-2% เท่านั้น เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่โต 4-5% ถือว่าเราตามหลังมาก” วทัญกล่าว

คาด กนง. อาจลดดอกเบี้ยต่อ

ด้วยเงินเฟ้อไทยที่อยู่ที่ 0.8% และเศรษฐกิจโตช้า วทัญคาดการณ์ว่า กนง.อาจจะลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง จากปัจจุบัน 1.75% ลงไปที่ 1.25% ภายในปลายปี และถึงแม้จะมีความกังวลว่าการลดดอกเบี้ยจะกระทบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ในความเป็นจริง กลุ่มธนาคารยังสามารถทำกำไรได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งราคาปรับตัวขึ้นเมื่อดอกเบี้ยลดลง

“แม้ส่วนต่างดอกเบี้ยจะหายไป แต่พอร์ตการลงทุนของแบงก์ในตราสารหนี้กลับชดเชยได้ ทำให้กลุ่มแบงก์ยังคงน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นที่ปันผลดี ราคายังไม่แพง ส่วนกลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง่ ได้แก่ กลุ่ม Non-Bank เช่น MTC, SAWAD และ TIDLOR” วทัญ ระบุ

เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทย “ยังไม่ติด” ต้องรอดูนโยบายภาครัฐ

วทัญสรุปว่า ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังไม่แข็งแรง ทั้งการบริโภค การท่องเที่ยว และการส่งออกยังคงซบเซา แม้จะมีความหวังจากนโยบายการเงินและการคลัง แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักพอจะขับเคลื่อน GDP ได้แรง

“สุดท้ายแล้ว เราอาจต้องรอดูว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการอะไรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และปลุกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาอีกครั้ง”

กลยุทธ์การลงทุน: หุ้นนิคม-ส่งออกไทยน่าสนใจ

สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย วทัญแนะนำให้จับตาหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและส่งออกที่มีตลาดหลักในสหรัฐฯ เนื่องจากอาจได้ประโยชน์หากข้อตกลงการค้าไทย-สหรัฐมีความคืบหน้า โดยเฉพาะกรณีหากการพิจารณาภาษีนำเข้าสินค้า หุ้นที่น่าสนใจในระยะสั้น ได้แก่

  • กลุ่มนิคม AMATA, WHA
  • ส่งออกอาหารและสัตว์น้ำ ITC, TU

ทองคำ ระยะสั้นมีโอกาสพักฐาน แต่ยังน่าสะสมเมื่อย่อตัว

แม้ราคาทองคำยังอยู่ในกรอบการเคลื่อนไหวแคบและดูสงบลงจากช่วงที่ผันผวนมาก วทัญมองว่าทิศทางในระยะสั้นอาจเป็น “ไซด์เวย์ดาวน์” จากปัจจัยสำคัญ เช่น การลดดอกเบี้ยจากเฟด หรือความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ เริ่มซาลง

“ถ้าราคาทองคำย่อตัวลงมาแถว 3,150 – 3,200 ดอลลาร์สหรัฐ น่าจะเป็นโอกาสในการทยอยสะสมอีกรอบ”  วทัญ กล่าวทิ้งท้าย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์