กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บล. กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยและผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับฐานลงมา โดยในช่วงที่เหลือของปี บล.กรุงศรี มองว่าอุปสงค์ (Demand) มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากนโยบายกำแพงภาษี ประกอบกับทิศทางการเพิ่มอุปทาน (Supply) ของกลุ่มโอเปคพลัส ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ จะลดลงประมาณ 10%
ผลกระทบจากสงครามภาษี
เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบของสงครามภาษี ประเทศเวียดนามและจีนได้รับผลกระทบมากกว่าไทย โดยไทยถือว่าได้รับผลกระทบในระดับกลาง กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ได้แก่ กลุ่มส่งออกอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง แม้ว่านโยบายกำแพงภาษีจะส่งผลกระทบต่อกำไรของตลาดไม่มากนัก แต่จะส่งผลกระทบต่อ GDP ของไทยค่อนข้างมาก
แนวโน้มตลาดและกลยุทธ์การลงทุน
คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะมีความผันผวน โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1,155-1,145 จุด และแนวต้านที่ 1,175 จุด ดัชนี SET ยังคงอยู่ในช่วงค้นหาฐาน โดยแรงกดดันในระยะสั้นจะมาจากกลุ่มพลังงานและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อย เช่น ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศ โดยเชื่อว่านโยบายการเงินจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ
กลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มโดดเด่น ได้แก่:
- กลุ่มไฟฟ้า
- กลุ่มไฟแนนซ์
- กลุ่มค้าปลีก
- กลุ่มโรงพยาบาล
- กลุ่มท่องเที่ยว (ต้องติดตามสถานการณ์)
ผลกระทบของนโยบายภาษีทรัมป์และแนวทางรับมือ
นโยบายภาษีของทรัมป์จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินฝืดในประเทศต่างๆ ขณะที่สหรัฐฯ เองอาจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยแต่ละประเทศมีแนวทางในการรับมือได้ 2 วิธี คือ:
- เจรจาเพื่อลดผลกระทบ
- หาคู่ค้าใหม่ๆ พร้อมกับเพิ่มนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและการคลังภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย
คำแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน
บล.กรุงศรี แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดโกลบอลบอนด์ สำหรับตลาดที่ปรับตัวลงไปมากแล้ว อาจมีโอกาสลดลงอีกไม่มาก
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจ แต่ควรรอจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน ส่วนตลาดหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจในระยะกลาง เนื่องจากยังคงได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการเงินและการคลัง โดยหุ้นกลุ่ม A-share และ H-share ปรับตัวลดลงแต่ไม่มากนัก
สำหรับตลาดหุ้นเวียดนามที่ปรับตัวลงแรงหลังได้รับผลกระทบจากภาษีมากกว่าไทย หากมีการลงทุนอยู่แล้ว อาจพิจารณาปรับลดความเสี่ยงลงประมาณ 20-30% แต่หากยังไม่มีการลงทุน ก็ไม่จำเป็นต้องรีบเข้าลงทุน เนื่องจากคาดว่ายังมีโอกาสปรับตัวลงได้อีกจากผลกระทบของนโยบายภาษีทรัมป์