จัดพอร์ตรับมือ ทรัมป์วางบอมบ์ภาษี ทำหุ้นไทยดิ่งเหว

4 เม.ย. 2568 - 10:08

  • ภาษีนำเข้าทรัมป์ เสี่ยงเกิดภาวะเงินฝืดทั่วโลก ยกเว้นสหรัฐฯ ที่อาจเกิดเศรษฐกิจถดถอย

  • ส่องกลุ่มหุ้นโดดเด่น ไฟฟ้า, ไฟแนนซ์, โรงพยาบาล, ค้าปลีก

set_trump_tradewar_SPACEBAR_Hero_10850fb87a.jpg

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บล. กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยและผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้

ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับฐานลงมา โดยในช่วงที่เหลือของปี บล.กรุงศรี มองว่าอุปสงค์ (Demand) มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากนโยบายกำแพงภาษี ประกอบกับทิศทางการเพิ่มอุปทาน (Supply) ของกลุ่มโอเปคพลัส ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ จะลดลงประมาณ 10%

ผลกระทบจากสงครามภาษี

เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบของสงครามภาษี ประเทศเวียดนามและจีนได้รับผลกระทบมากกว่าไทย โดยไทยถือว่าได้รับผลกระทบในระดับกลาง กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ได้แก่ กลุ่มส่งออกอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง แม้ว่านโยบายกำแพงภาษีจะส่งผลกระทบต่อกำไรของตลาดไม่มากนัก แต่จะส่งผลกระทบต่อ GDP ของไทยค่อนข้างมาก

แนวโน้มตลาดและกลยุทธ์การลงทุน

คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะมีความผันผวน โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1,155-1,145 จุด และแนวต้านที่ 1,175 จุด ดัชนี SET ยังคงอยู่ในช่วงค้นหาฐาน โดยแรงกดดันในระยะสั้นจะมาจากกลุ่มพลังงานและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ

นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อย เช่น ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศ โดยเชื่อว่านโยบายการเงินจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ

กลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มโดดเด่น ได้แก่:

  • กลุ่มไฟฟ้า
  • กลุ่มไฟแนนซ์
  • กลุ่มค้าปลีก
  • กลุ่มโรงพยาบาล
  • กลุ่มท่องเที่ยว (ต้องติดตามสถานการณ์)

ผลกระทบของนโยบายภาษีทรัมป์และแนวทางรับมือ

นโยบายภาษีของทรัมป์จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินฝืดในประเทศต่างๆ ขณะที่สหรัฐฯ เองอาจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยแต่ละประเทศมีแนวทางในการรับมือได้ 2 วิธี คือ:

  1. เจรจาเพื่อลดผลกระทบ
  2. หาคู่ค้าใหม่ๆ พร้อมกับเพิ่มนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและการคลังภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย

คำแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน

บล.กรุงศรี แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดโกลบอลบอนด์ สำหรับตลาดที่ปรับตัวลงไปมากแล้ว อาจมีโอกาสลดลงอีกไม่มาก

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจ แต่ควรรอจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน ส่วนตลาดหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจในระยะกลาง เนื่องจากยังคงได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการเงินและการคลัง โดยหุ้นกลุ่ม A-share และ H-share ปรับตัวลดลงแต่ไม่มากนัก

สำหรับตลาดหุ้นเวียดนามที่ปรับตัวลงแรงหลังได้รับผลกระทบจากภาษีมากกว่าไทย หากมีการลงทุนอยู่แล้ว อาจพิจารณาปรับลดความเสี่ยงลงประมาณ 20-30% แต่หากยังไม่มีการลงทุน ก็ไม่จำเป็นต้องรีบเข้าลงทุน เนื่องจากคาดว่ายังมีโอกาสปรับตัวลงได้อีกจากผลกระทบของนโยบายภาษีทรัมป์

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์