ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า วันนี้เป็นนัดแรกที่จะมีหน่วยงานมาชี้แจง 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ ในขั้นต้นก่อนที่จะมีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งทุกหน่วยงานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจทั้งปีนี้และปีหน้าจะตกต่ำ จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล
ในปี 68 แต่ละหน่วยก็คาดการณ์ให้ตัวเลขจีดีพีไม่เท่ากัน อยู่ระหว่าง 1.8-2 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในปี 69 จะตกต่ำลงไปอีก อยู่ที่ประมาณ 1.6 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นสิ่งที่น่ากังวล โดยเฉพาะสิ่งที่ส่งผลกระทบต่องบประมาณ ประเด็นแรกคือการประมาณการรายได้เข้ารัฐ ซึ่งเรามีการคำนวณเบื้องต้นว่า หากจีดีพีตกต่ำแบบนั้น ในปี 69 รายได้รัฐจะหายไป 6 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของการประมาณการรายได้ และหากไม่สามารถหารายได้จากที่อื่นมาได้ ก็หมายความว่ารายจ่ายปี 69 จะใช้ได้ไม่เต็มที่ตามที่ได้ตั้งไว้ 3.78 ล้านล้านบาท หากจะกู้เพิ่มก็กู้ได้ไม่มาก เพราะรัฐบาลตั้งขาดดุลจนเกือบเต็มเพดานอยู่แล้ว ทั้งนี้ หากจะกู้เพิ่มก็จะกู้ได้อีกแค่ 1.7 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น ดิฉันจึงมีการพูดคุยกับกระทรวงการคลังว่าจะมีแนวทางอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนภาษีสรรพสามิตที่เราเก็บได้ต่ำกว่าเป้ามาโดยตลอด ซึ่งกระทรวงการคลังมีการเสนอแนวทาง 2 อย่าง คือ
ประเด็นแรกที่จะใช้ทั้งปี 68 และปี 69 คือจะมีการเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น 1 บาท เพียงอาจจะยังไม่กระทบกับราคาน้ำมันที่ประชาชนต้องควักเงินจ่าย แต่จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาทต่อเดือน
ประเด็นที่ 2 คือการเก็บภาษีตัวอื่นๆ เพิ่มเติม หรือมีการรื้อโครงสร้างของภาษีรถยนต์ในอนาคต เพราะการเก็บสรรพสามิตที่ลดลงมาก คือในส่วนภาษีรถยนต์ตามที่เราขายได้น้อยลง รวมถึงการที่เราเก็บภาษีรถ EV ต่ำลงด้วย จึงถือว่าเป็นการปฏิรูปทั้งระบบ จะนำมาซึ่งรายได้ที่นำมาใช้จ่ายในปีงบประมาณ 69
เรายังมีข้อกังวล เนื่องจากยังไม่มีการลงรายละเอียดชัดเจนว่าจะมาจากเงินในส่วนไหน และเม็ดเงินเท่าไหร่ ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาเช่นนี้ กระทรวงการคลังจะใช้วิธีการเอาเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจต่างๆ อย่าง ปตท. กองสลาก กองทุนวายุภักษ์ ซึ่งอาจไม่จีรังยั่งยืน เนื่องจากผลประกอบการรัฐวิสาหกิจอาจจะไม่ดี มีเพียงแค่ท่าอากาศยานไทยที่มีผลประกอบการดีขึ้น
สำหรับสัดส่วนดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายในแต่ละปี ที่ไม่มีการตั้งไว้ตามที่ได้วางแผนตอนต้น แต่สำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นว่า จะต้องรอลุ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายจะตกลงเรื่อยๆ แล้วทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายลดลงหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นข้อกังวลในอนาคตว่า หากไม่เพียงพอ คงต้องใช้เงินคงคลังหรืองบกลางมาชำระดอกเบี้ยอีกเหมือนปี 67
ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เราได้ฉายภาพให้ดูว่า ด้วยความที่จีดีพีโตตกต่ำ จะทำให้ไปถึง 70 เปอร์เซ็นต์เร็วขึ้น และปลายปีงบประมาณ 69 จะขึ้นไปถึง 69 เปอร์เซ็นต์เร็วกว่าที่เคยวางแผนเอาไว้ ส่วนในปี 70 อย่างไรก็ต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไปอย่างแน่นอน และกระทรวงการคลังก็ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ เท่ากับว่าประเทศไทยคงต้องมีมติของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อขยายเพดานหนี้สาธารณะในปี 70 และไม่แน่ใจว่าจะเป็นงบประมาณที่รัฐบาลไหนได้ใช้ หากมีการยุบสภาเร็วกว่านี้ ก็อาจไม่ใช่รัฐบาลนี้ที่จะรับภาระหนี้สาธารณะเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี
ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีเงินฝืด เรารับรู้กันว่าตลาดต่างๆ เงียบเหงา กำลังซื้อประชาชนกำลังอ่อนตัวลง โดย ธปท. ชี้แจงว่า ยังไม่เข้าสู่ช่วงเงินฝืด เพราะเวลาเงินเฟ้อติดลบ จะติดลบเป็นหย่อมๆ ไม่ได้ติดลบทุกรายการอย่างเท่าเทียม จึงยังไม่เข้าเกณฑ์ภาวะเงินฝืด แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า มีการจับตาดูเรื่องกำลังซื้อที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ อย่างที่เราเห็นว่า คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง ตลาดเงียบเหงา หรือรายได้ของคนที่ซื้อลดลงทั้งค่าจ้างแรงงานและเกษตรกร
เมื่อถามว่าเรื่องไลฟ์สดไม่มีการติดใจอะไรใช่หรือไม่? ศิริกัญญา กล่าวว่า “เราเข้าใจมากกว่า เพราะหลายปีที่ผ่านมาเราก็พยายามกันในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจกมธ.เสียงข้างมากได้ แต่กรณีที่บอกว่าไม่สามารถไลฟ์สด เนื่องจากตารางโปรแกรมของทีวีรัฐสภาถูกล็อกไว้หมดแล้วนั้น ดิฉันขอเสนอวิธีการแก้ไขง่ายๆ คือการไลฟ์ผ่านช่องยูทูป ซึ่งสามารถไลฟ์พร้อมกันได้มากกว่าหนึ่งรายการ”
เมื่อถามถึงกำหนดการการพิจารณาในชั้น กมธ. ที่อาจล่าช้า? ศิริกัญญา กล่าวว่า “จริงๆ น่าจะล่าช้าประมาณ 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ดิฉันคิดว่า กมธ.เองสามารถยืดหยุ่นในการพิจารณาได้ หรือสามารถลดจำนวนวันลงได้ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ไม่ได้กังวลอะไร เพราะจำนวน 105 วันที่ได้รับมาตามรัฐธรรมนูญ ปกติก็ใช้ไม่หมดเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว”
ส่วนเมื่อถามถึงการตั้งเป้าตัดงบ 5 หมื่นล้านบาทของฝ่ายค้าน? ศิริกัญญา กล่าวว่า “กมธ.ในสัดส่วนของฝ่ายค้านยังคิดว่าเป็นปัญหา ตามที่ได้เล่าไปว่า เมื่อรายได้เก็บไม่เข้าเป้า รายจ่ายก็ควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เหมือนกัน แต่หากรอถึงวันนั้น วันที่ได้รายได้ไม่ครบจริงๆ ก็ไม่ทราบว่าโครงการไหนจะต้องเป็นโครงการที่โดนตัดลดไป ฉะนั้น ควรตัดสินใจตั้งแต่วันนี้”
ยืนยันว่าแม้ในท้ายที่สุดเรื่องที่เราแถลงไปว่า เราอยากให้มีมติในเรื่องต่างๆ นั้น แต่ประธานกมธ. และกมธ.เสียงข้างมากไม่เอาด้วยกับเรา แต่เราคิดว่าจำเป็นจะต้องตระเตรียมเรื่องนี้เอาไว้ในชั้นอนุกรรมาธิการ ซึ่งเราสามารถเข้าไปส่งเสียงในการขอตัดได้ แต่หากไม่ได้อย่างไร เราจะรวบรวมไปขอตัดต่อในวาระที่สองในสภา และจะทำเป็นรายงานเสนอต่อประชาชนว่าเราพยายามตัดให้ได้มากที่สุดแล้ว แต่เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับเรา
สำหรับกรณีที่ รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ได้เป็นรองประธาน กมธ.ลำดับที่ 18? ศิริกัญญา กล่าวว่า “เป็นกลยุทธ์ของเรา ซึ่งในรอบนี้เราส่งรองประธานกมธ. หลังจากที่ไม่ได้ส่งมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว เพราะเห็นว่าปีที่แล้วมี กมธ.ฝ่ายค้าน ซึ่งคือพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นรองประธานได้ขึ้นนั่งบัลลังก์มาแล้ว จากกรณีที่รองประธานทั้งหมดไม่มาทำงานในช่วงเวลานั้นๆ ฉะนั้น เราจึงคิดว่าถ้าเราติ่งไว้หนึ่งคน จะเป็นโอกาสที่เราสามารถเดินเกมอะไรบางอย่างได้ในเวลาที่ กมธ.ฝั่งรัฐบาลไม่มาทำงานตามปกติ”
รักชนก เป็น กมธ.สมัยที่สอง และเป็นประธานคณะอนุ กมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ของทั้งปี 68 และปี 69 ประจำคณะกมธ.งบประมาณ จึงต้องบอกว่าคุณสมบัติและความรู้ความสามารถครบถ้วน
เมื่อถามว่าได้มีการวางตัวเป็นประธานคณะอนุ กมธ.ชุดไหนบ้างหรือไม่? ศิริกัญญา กล่าวว่า “ยังอยู่ระหว่างการต่อรอง เพราะต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาประธานอนุ กมธ.จะเป็นตำแหน่งของ สส.ฝั่งของรัฐบาลทั้งหมด เช่น ในปีที่แล้ว แม้แต่คณะอนุ กมธ.พิจารณาร่างข้อสังเกตฯ ที่เป็นคนจดบันทึกการประชุม และสรุปข้อสังเกตต่างๆ ก็ยังไม่ได้ แต่รอบนี้คงต้องรอดูกันอีกครั้ง”
มองปมปรับลด ‘งบฯ 68’ รวม 3.5 หมื่นล้านไปกระตุ้น ศก.ไม่เข้าข่าย ‘ม.144’ แต่หากผลออกมาว่าผิดอาจเป็น ‘นิติสงคราม’
ส่วนกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติรับเรื่องที่ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และคณะ ยื่นคำร้องและหลักฐานให้ตรวจสอบกรณีการตัดงบชำระหนี้ให้ธนาคารรัฐ ในปีงบประมาณ 2568 หรือหนี้มาตรา 28 วงเงิน 35,000 ล้านบาท โดยโยกไปใส่ไว้ใน “งบกลาง” เพื่ออาจจะนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต อาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 นั้น
เรื่องนี้ รองหัวหน้าพรรคประชาชนมองว่า “น่าจะเป็นกรรมาธิการงบปี 68 ที่มีการอนุมัติลดงบในการจ่ายหนี้คืนธนาคารรัฐ และแปรเปลี่ยนงบประมาณเพื่อไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในปี 68 ในชั้นกรรมาธิการและวาระสอง”
ดิฉันมองว่าหากมองตามกฎหมาย ข้อนี้ไม่เข้าข่ายมาตรา 144 ซึ่งยังไม่ทราบว่าผลจะออกมาเช่นไร หาก ป.ป.ช. สอบออกมาแล้วบอกว่าผิด ดิฉันมองว่าเริ่มเป็นนิติสงคราม อย่างไรก็ตาม ต้องรอผลสอบของ ป.ป.ช. ทั้งนี้ หากจะถามว่ากรณีนี้ควรทำหรือไม่ ก็ไม่ควรทำ
ชี้ปม ‘รทสช.’ ป่วน สะท้อนปัญหาภายในพรรค แต่ไม่ไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล
พร้อมกันนี้ มองว่า ความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่ถึงขั้นกระทบเสถียรภาพรัฐบาล แต่สะท้อนปัญหาภายในพรรคอย่างชัดเจน พร้อมเปิดรับหากสมาชิกบางส่วนจะย้ายฝั่งมาร่วมฝ่ายค้าน และย้ำว่า การแต่งตั้งรัฐมนตรีต้องตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด เพราะไม่ควรมีผู้ที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลคดี นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อไม่ให้เกิดกรณีซ้ำรอยแบบ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี