เรื่องมันมีอยู่ว่า <> ภูมิใจไทยฝ่ายค้านมือใหม่ ไฟแรง ใจร้อน ยื่นญัตติซักฟอก‘อิ๊งค์’ท่าทีออกมาว่าอาจจะล่มปากอ่าว เพราะเสียงขาด และพรรคส้มทำท่าไม่ร่วมด้วย <> ฉีกโผกันกลางอากาศผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ น้ำหนักเทไปที่ลูกหม้อแบงก์ชาติ <> พบคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า
ญัตติซักฟอก‘อิ๊งค์’ ส่อล่มปากอ่าว
เสียงไม่พอพรรคส้ม ไม่เอาด้วย
ปรับโหมดเป็นฝ่ายค้านไม่ทันไร ‘ค่ายเขากระโดง’ พรรคภูมิใจไทย เปิดเกม ‘เคาน์เตอร์แอทแทค’ หมายเอาคืน ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ หยิบอาวุธหนัก ประกาศยื่นญัตติอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ทันทีที่เปิดสมัยประชุมรัฐสภา วันที่ 3 กรกฎาคมนี้
แน่นอนต้องล็อกเป้าสอยหัว ‘นายกฯอิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร ด้วยข้อหาอุกฉกรรจ์ ‘ขายชาติ’ จากกรณีคลิปสนทนาลุง-หลาน อันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ ‘ค่ายสีน้ำเงิน’ โดดงับเป็นข้ออ้างถอนตัวออกจากรัฐบาล กลบเกลื่อนความจริงที่กำลังจะเจอ ‘ถีบส่ง’ ลงจากรัฐนาวา
ซึ่งก็ดูขึงขังเกินเบอร์ไปไม่น้อย ทำเอา ‘ค่ายสีส้ม’ พรรคประชาชน แกนนำฝ่ายค้าน ‘เหวอ’ ไปเลยทีเดียว ไม่นึกว่า ‘พี่ภูมิฯ’ จะมาไม้นี้ แถมไม่แวะมาปรึกษาหารือกันก่อน เพราะราว 3 เดือนก่อนนี้เอง ‘ค่ายส้ม’ ก็เพิ่งยื่นญัตติรุมซักฟอก ‘แพทองธาร’ คนเดียวเช่นกัน
ทราบผลกันดีแล้วว่า ไม่เพียงแต่โค่นไม่ลง ‘มาดามอิ๊งค์’ ยังแทบไม่สะเทือนสะท้าน ยืนครบยกชนะแต้มโหวตไปแบบสบาย
จู่ๆ จะมายื่นขอซักฟอกมาตรา 151 ติดๆกันแบบนี้ จะเอาอะไรมาพูด แค่ประเด็น ‘ไทย-เขมร’ ที่ชำแหละกันจนแทบสิ้นไส้ ไม่น่ามีน้ำหนักพอ
เว้นแต่ ‘ค่ายสีน้ำเงิน’ จะมีข้อมูลทีเด็ด หรือคลิปลึกคลิปลับลอกเลียน ‘แขมร์ฮุน’ แบบฟาดทีเดียวรัฐบาลล้มตึง มิเช่นนั้นก็ ‘เสียของ’ ไม่สามารถใช้ ‘อาวุธหนักที่สุด’ ของฝ่ายค้านได้อีก 1 ปีเต็ม ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่า มาตรา 151 สามารถใช้ได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น
ดูท่าอาจได้แค่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อ เพราะตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ต้องมี สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสภาฯ (หรือ 99 คน จากปัจจุบันมี สส.ทำหน้าที่ได้ 495 คน) ร่วมลงชื่อยื่นญัตติตามมาตรา 151
นับหัว สส.พรรคภูมิใจไทย แบบ ‘ยัง’ ไม่มีใครพลิ้ว ลงชื่อทั้งหมด 69 เสียง บวกกับ 2 เสียง สส.ไทยสร้างไทย ที่ฝากเลี้ยงไว้ ก็ได้แค่ 71 เสียงเท่านั้น
และแม้จะได้ 20 เสียงจาก ‘ค่ายลุงป้อม’ พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกถีบออกมานั่งเป็นฝ่ายค้านก่อนแล้ว ประกาศร่วมลงชื่อรวมพลัง ‘ฝ่ายแค้น’ ยื่นญัตติด้วยแล้วก็ยังได้เพียง 91 เสียง ต้องหามาเติมอีกเกือบ 10 เสียง ซึ่งก็มีแค่ ‘พรรคส้ม’ เท่านั้นที่ช่วยได้
แต่ดูท่าทีแล้ว พรรคประชาชน คงไม่เอาด้วยกับการยื่นญัตติ ‘มาตรา 151’ เพราะ ‘ขัด’ กับจุดยืนที่กำลังกดดันให้ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ใช้อำนาจ ‘ยุบสภา’ เพื่อรับผิดชอบกรณีคลิปสนทนากับ ‘เฒ่าเขมร’
เงื่อนไขมีว่า เมื่อยื่นญัตติไม่ไว้วางใจไปแล้ว นายกรัฐมนตรี จะไม่สามารถใช้อำนาจยุบสภาได้ จนกว่าจะถอนญัตติ หรือลงมติจนแล้วเสร็จ
แล้วหากพูดเรื่องจังหวะจะโคนในฐานะฝ่ายค้าน พรรคประชาชน ซึ่งอายุอานามนับจากสมัยพรรคอนาคตใหม่ ที่ยังไม่ถึง 10 ขวบดี แต่ก็มีประสบการณ์ทำหน้าที่ ‘ฝ่ายค้าน’ มากกว่า พรรคภูมิใจไทย ที่พูดได้ว่าเป็นแค่ ‘ฝ่ายค้านสมัครเล่น’ ด้วยซ้ำ
แม้อายุอานาม ‘ค่ายสีน้ำเงิน’ เทียบได้กับรุ่นหนุ่มกระทง ก้าวสู่ปีที่ 17 มากกว่าเกือบเท่าตัว แต่ตามประวัติก็เพิ่งผ่านการเป็นฝ่ายค้านมาหนเดียว ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ปี 2554 และเป็นแบบ ‘จำใจ’ มีชนักวลีอมตะ ‘มันจบแล้วครับนาย’ ครั้งข้ามขั้วไปตั้งรัฐบาลกับ ‘ค่ายสะตอ’ พรรคประชาธิปัตย์
ตามรูปการณ์ ‘พรรคส้ม’ แกนนำฝ่ายค้าน คงไม่บ้าจี้เดินตามเกม ‘ฝ่ายแค้น’ ที่วันนี้ขับเคลื่อนด้วย ‘อารมณ์’ มากกว่าเหตุผล
แบบนี้ ‘ญัตติสีน้ำเงิน’ ก็คงไปไม่ถึงสภา ที่ว่าจะเอาคืนฟัดให้จมเขี้ยว ก็คงได้แต่แยกเขี้ยวขู่เท่านั้น.
<<<<<<<<>>>>>>>>
ผู้ว่าแบงก์ชาติคนที่ 21
ทำไมต้องเป็น‘รุ่ง มัลลิกะมาส’
การคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนที่ 21 แทนเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าคนปัจจุบัน ที่จะครบวาระในเดือนกันยายนนี้ มาถึง‘โค้งสุดท้าย’ แล้ว
จากผู้สมัคร 6 คน คณะกรรมการสรรหาคัดเหลือ 2 คน คือ ‘ดร. รุ่ง มัลลิกะมาส’ รองผู้ว่าแบงก์ชาติ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน กับ ‘วิทัย รัตนากร’ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
ตามกระบวนการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร จะเสนอชื่อทั้ง2 คนให้คณะรัฐมนตรีตัดสินว่า จะเลือกใครเป็นผู้ว่า แบงก์ชาติคนที่ 21 ในการประชุม ครม.วันที่ 1 กรกฎาคมนี้
ตอนแรก ‘วิทัย’ มาแรง เพราะมีข่าวว่าฝ่ายการเมืองวางตัวให้เป็นผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ หลังจากส่ง ‘สมชัย สัจจพงษ์’ เข้ามาเป็นประธานแบงก์ชาติก่อนแล้ว เพื่อให้แบงก์ชาติ มีบทบาทในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินมากขึ้น ทำงานประสานกันเป็นทีมกับ กระทรวงการคลัง ไม่ใช่ขัดแข้งขัดขากันเหมือนที่เป็นมา
แต่พอมาถึงโค้งสุดท้าย ก่อนเข้า ‘เส้นชัย’ ที่วังบางขุนพรหม ดร.รุ่ง มาแรง และทำท่าจะ‘เฉือน’ วิทัย แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
ความจริงทั้งสองคนมีดี เหมาะสมกับตำแหน่งผู้ว่า ธปท. ทั้งคู่ และมีไอเดียที่ไม่ต่างกันในเรื่อง บทบาทของแบงก์ชาติ คือต้องมี ‘ส่วนร่วม’ ในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ ต้องทำให้ระบบธนาคารไทยมีการแข่งขันมากขึ้น และ ต้องกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ ‘ลดดอกเบี้ย’ จริงๆ ไม่ใช่ลดเป็นพิธีตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เรื่องที่ต่างกันที่ทำให้ฝ่ายการเมือง ‘เอนเอียง’ มาทางดร. รุ่ง มากกว่า วิทัย อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เป็นเรื่อง ‘ละเอียดอ่อน’ ที่ฝ่ายการเมืองคิดว่าอาจจะส่งผลที่แตกต่าง
เรื่องแรกคือ ‘ฮุนเซ็น เอฟเฟ็ค’ ที่ส่งผลสะเทือนต่อสถานะของ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และไม่รู้ว่า จะบานปลายไปถึงไหน ในสถานการณ์แบบนี้การเลือก ดร. รุ่ง ที่เป็นลูกหม้อแบงก์ชาติ ปลอดภัยกว่าเลือก วิทัย ที่จะถูกมองว่าการเมืองแทรกแบงก์ชาติ ดีไม่ดี อาจจะถูกนำไปปั่นรวมกับกระแสไล่นายกฯ ถึงขั้น คนแบงก์ชาติ แต่งชุดดำประท้วงก็ได้ อย่าประมาท
เรื่องต่อมา โลกของนายธนาคารกลางเป็นสังคม Who is Who ที่คนเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติ ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน จะมีพื้นฐานบางอย่างร่วมกัน เช่นจบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลกตะวันตก มีประสบการณ์เรื่อง การเงิน การธนาคารระหว่างประเทศ พูดจาภาษาเดียวกัน
ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของวิทัย ไม่ใช่ว่า ไม่เก่ง แต่เป็น ‘คนนอก’ สโมสรนายธนาคารกลางของโลก ในขณะที่ ดร. รุ่ง เป็นลูกหม้อแบงก์ชาติ มีประสบการณ์ สายสัมพันธ์กับสถาบันการเงิน ระดับโลก ซึ่งเป็นเรื่อง สำคัญสำหรับการเป็นผู้ว่าธนาคารกลางในยุคนี้
ประเทศไทยเพิ่งถูก ‘มูดี้ส์’ ลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ จาก ‘มีเสถียรภาพ’ เป็น ‘ติดลบ’ และเสี่ยงต่อการที่จะถูดลดอันดับเครดิตจาก ‘Baa 1’ ในปัจุบัน ทั้งกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบาย มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ ทั้งหนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การให้คะแนนของมูดี้ส์
เรื่องที่ดูเหมือนเล็กๆ แต่ละเอียดอ่อน และมีความสำคัญในสภาวะปัจจุบันเหล่านี้ จะทำให้ ดร. รุ่ง มีโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือกจากพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีคลังให้เป็น ผู้ว่าแบงก์ชาติ คนที่ 21 ก่อนจะเสนอทั้ง ดร. รุ่ง และ วิทัย ให้ ครม. ประกาศผลตามโผที่ล็อกไว้แล้ว
<<<<<<>>>>>>