หลังเกิดกรณีข่าวดราม่า “รัฐเปลี่ยนคนอยู่กับป่า กลายเป็นผู้บุกรุก” ล่าสุด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ออกแถลงการณ์ชี้แจงย้ำรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาไล่ประชาชนออกจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ แต่เน้นการบริหารจัดการให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอเรียนว่า สืบเนื่องจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน พุทธศักราช 2557 กำหนดให้หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่มเติมด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเด็ดขาด ส่งผลให้มีการตรวจยึดจับกุมดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งรวมถึงนายทุน ผู้มีอิทธิพล บ้านพักตากอากาศ รีสอร์ท และการออกเอกสารสิทธิทางที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ที่ได้อยู่อาศัยทำกินเดิมในพื้นที่อนุรักษ์นั้น

หากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้น มีผลกระทบต่อประชาชนหรือชุมชนตามเงื่อนไขที่กำหนด กรมอุทยานฯได้ดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยทำงานร่วมกับภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงาน เช่น การแก้ไขปัญหาในเขตป่าอนุรักษ์ตามข้อเรียกร้องของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จำนวน 37 กรณี
ต่อมา เมื่อมีพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 64 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 121 กำหนดให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการสำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินภายในเขตป่าอนุรักษ์มาก่อนวันที่กฎหมายทั้งสองฉบับใช้บังคับ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ภายใต้กรอบเวลาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน พุทธศักราช 2557 โดยให้บุคคลที่มีคุณสมบัติ ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายที่จะอยู่อาศัยและทำกินเพื่อการดำรงชีพอย่างเป็น “ปกติธุระ” ในพื้นที่ดังกล่าว

โดยพบว่าในเขตป่าอนุรักษ์มีประชาชนอยู่อาศัยและ/หรือทำกิน จำนวน 224 ป่าอนุรักษ์ 4,042 หมู่บ้าน 314,784 ราย/ครอบครัว รวมเนื้อที่ 4.257 ล้านไร่ ประชากรประมาณ 1 ล้านคน

หากพิจารณาตามเจตนารมณ์ของ มาตรา 64 และมาตรา 121 จะเห็นว่า รัฐบาลมีความพยายามแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ที่ยืดเยื้อยาวนาน และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด ส่วนจะให้ย้ายหรือออกไปเสียก็ไม่สามารถหาพื้นที่รองรับได้ จึงกำหนดแนวทางแก้ไขภายใต้กรอบที่ยืดหยุ่นผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมลักษณะความร่วมมือกันแบบ “ภาคีหุ้นส่วน” โดยยังคงไว้ซึ่งเจตนารมณ์ด้านการอนุรักษ์ ภายใต้โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตป่าอนุรักษ์แล้วแต่กรณี โดยกำหนดให้มีสาระสำคัญเกี่ยวคุณสมบัติบุคคล หน้าที่ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งยังมีการกำหนดมาตรการในการกำกับดูแล ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการ เพื่อให้ “คนอยู่กับป่าอย่างเกื้อกูลกัน” สืบไป