“…คราบน้ำมันอาจถูกเก็บกู้จากผิวน้ำในไม่กี่วัน แต่รอยร้าวในระบบนิเวศอาจอยู่นานนับสิบปี”
ย้อนต้นเรื่องน้ำมันรั่ว 20 ตัน กลางทะเลศรีราชา ชลบุรี
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าคืนวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เวลาประมาณ 23.54 น. เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลปริมาณราว 20 คิว หรือราว 20 ตัน บริเวณทุ่นรับน้ำมันกลางทะเล (SBM-2) ของบริษัทไทยออยล์ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งศรีราชา
ต้นเหตุของการรั่วไหลเพราะเหตุสุดวิสัยจากคลื่นสูงและลมกระโชกแรงกะทันหัน ส่งผลต่อระบบ Breakaway Coupling ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อแยกท่อขนส่งน้ำมันและป้องกันความเสียหายจากแรงดึง ทว่ากลับทำให้น้ำมันไหลรั่วออกสู่ทะเล โดยทางบริษัทต้นเรื่องได้ดำเนินการตอบสนองและแก้ไขในทันที

บ่ายวันที่ 6 กรมเจ้าท่า พบลักษณะของคราบน้ำมันเป็นคราบสีดำหรือน้ำตาลบางๆ กระจายเป็นหย่อมๆ บนผิวน้ำ ทั่วบริเวณพื้นที่ประมาณ 10 คูณ 10 เมตร และเคลื่อนตัวไปทางทิศใต้ด้วยความเร็วกระแสน้ำประมาณ 1 นอต ท่ามกลางสภาพอากาศที่มีลมพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หลายฝ่ายคาดถึงเกาะสีชัง ในช่วง 6 โมงเย็นวันเดียวกัน
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็น “อุบัติเหตุ” ตามคำนิยามทางเทคนิค แต่ก็เป็น “ความเสี่ยงซ้ำซาก” ที่สะท้อนถึงจุดเปราะบางในระบบความปลอดภัยของกิจกรรมขนถ่ายน้ำมันในทะเลไทย
ระบบนิเวศใต้ทะเลเสียหาย ผลกระทบที่คนบนฝั่งมองไม่เห็น
น้ำมันดิบประกอบด้วยสารพิษหลายชนิด เช่น PAHs (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) และโลหะหนัก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล
แผ่นฟิล์มน้ำมันขัดขวางแสงแดดและออกซิเจน > การสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนลดลง > ฐานห่วงโซ่อาหารทะเลพังทลาย
แพลงก์ตอน ไข่ปลา และตัวอ่อนสัตว์ทะเล มีความไวสูงต่อสารพิษ > ส่งผลกระทบระยะยาวต่อการฟื้นตัวของประชากรสัตว์น้ำ
สัตว์น้ำ: เสี่ยงตายหรือกลายพันธุ์
สัตว์น้ำอาจดูดซึมสารพิษทางผิวหนัง เหงือก หรือจากอาหารที่ปนเปื้อน > ติดเชื้อเสี่ยงตาย กลายพันธุ์
น้ำมันอาจติดเกล็ด ตา หรือทางเดินหายใจของปลา > ส่งผลให้เคลื่อนไหวผิดปกติ
งานวิจัยบางชิ้นพบว่า การสัมผัสน้ำมันดิบช่วงสั้นๆ ก็เพียงพอที่จะส่งผลต่อพันธุกรรมของสัตว์ทะเล
แนวปะการัง: เหยื่อไร้เสียง
แนวปะการังในอ่าวไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันหลายด้าน ทั้งโลกร้อน น้ำเสีย และตอนนี้คือการปนเปื้อนของน้ำมันดิบ
ปะการังที่สัมผัสน้ำมันมีความเสี่ยงต่อการ “ฟอกขาว” และตาย
งานวิจัยพบว่า น้ำมันดิบอาจทำให้ปะการัง ไม่สามารถวางไข่หรือปฏิสนธิได้
การฟื้นตัวของแนวปะการังหลังเกิดมลพิษอาจใช้เวลานานกว่า 10–15 ปี
หากปล่อยให้แนวปะการังเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะสูญเสียแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเลแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวชายฝั่งอย่างถาวร
มนุษย์: ผลกระทบเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจ
ผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ สุดท้ายก็ย้อนกลับมาทำร้ายมนุษย์ ทั้งในมิติสุขภาพ > ทั้งจากการสูดดมไอของน้ำมัน ส่งผลต่อโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง หญิงมีครรภ์เสี่ยงต่อการแท้ง ซ้ำร้ายสารเบนซีนในน้ำมันยังเพิ่มความเสี่ยงทำให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ผู้บริโภคอาหารทะเลในพื้นที่อาจได้รับสารพิษสะสมจากสัตว์น้ำ > ความเสี่ยงสุขภาพในระยะยาว เช่น มะเร็ง โรคตับ หรือระบบประสาทและสมองเสื่อม
เกิดความไม่มั่นใจในสินค้าอาหารทะเล > กระทบเศรษฐกิจของชุมชนประมง ผู้ค้าท้องถิ่น การส่งออก
นักท่องเที่ยวหวั่นเรื่องความปลอดภัย > การท่องเที่ยวซบเซา คนในพื้นที่ขาดรายได้

ระบบรับมือมลพิษทางทะเล ช่องโหว่ที่ไม่ควรมองข้าม
แม้ระบบ Breakaway Coupling จะทำงาน “ตามที่ออกแบบไว้” แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เผยให้เห็นว่า ระบบความปลอดภัยของไทยยังเปราะบางเมื่อต้องเผชิญสภาพอากาศสุดวิสัย
ประเทศไทยมีสถิติการเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลแล้วอย่างน้อย 176 ครั้ง ในรอบ 26 ปี (2540-2565) เฉลี่ย 6-7 ครั้งต่อปี
— กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
พื้นที่อ่าวไทย โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรีและระยอง ถือเป็นจุดเสี่ยงสูงสุด เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทว่า เรายังขาดระบบเตือนภัยล่วงหน้า การสื่อสารต่อประชาชนอย่างโปร่งใส และการประเมินผลกระทบเชิงระบบในระยะยาว
ถึงเวลายกระดับการจัดการเพื่อความยั่งยืน
เหตุการณ์ในลักษณะนี้ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าควรถูกใช้เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูประบบจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยเฉพาะในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและอุตสาหกรรมทางทะเล
ข้อเสนอที่ควรผลักดันอย่างเร่งด่วน
- สร้างระบบ Early Warning System ที่ครอบคลุมกิจกรรมขนถ่ายน้ำมันทั้งในทะเลและท่าเรือ
- บังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรมชายฝั่ง
- จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล จากเงินสมทบของผู้ประกอบการที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเล
- ตรวจสอบคุณภาพอาหารทะเลในพื้นที่เสี่ยง และสื่อสารต่อสาธารณชนอย่างโปร่งใส
- สนับสนุนงานวิจัยและการฟื้นฟูแนวปะการัง อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงเกิดเหตุ
บทเรียนราคาแพงจากอดีต อาจเหมือนฝันร้ายที่ฉายซ้ำๆ ...หากเราไม่เปลี่ยน
เราผ่านมาแล้วกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่ระยอง มาบตาพุด และอีกหลายกรณีที่ไม่เป็นข่าวครึกโครม แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยการ “ควบคุมสถานการณ์ได้” โดยไม่ย้อนกลับมาถามว่าระบบที่มีอยู่เพียงพอหรือยัง? ตรวจสอบถี่ถ้วนแล้วใช่ไหม? ...วันนี้ถ้าเราไม่เรียนรู้และไม่เปลี่ยนแปลง “อ่าวไทย” ก็ยังคงเป็นเวทีให้ “วิกฤต” ปรากฏซ้ำไปซ้ำมา แม้บางครั้งอาจเงียบงัน แต่พลังทำลายล้างกลับมหาศาล