ในช่วงท้ายของการการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระแรก (วันที่ 4)
สุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวสรุปในฝั่งของรัฐบาล ว่า การที่จะบอกว่างบประมาณแผ่นดินชอบหรือไม่ชอบ และควรที่จะยกมืออนุมัติหรือไม่นั้น มี 4 กรอบ คือ
- 1. ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งการทำงบประมาณมีกฎหมายเกี่ยวข้อง รัฐบาลไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้
- มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศที่ตั้งไว้หรือไม่
- สามารถตอบโจทย์ประเทศได้หรือไม่
- ตรงใจ สส. ตรงใจสภาฯ หรือไม่ เพราะเป็นตัวแทนประชาชน และเชื่อว่าเป็นคนที่รู้ปัญหาของประชาชนมากที่สุด
สำหรับหน้าตาของงบประมาณฉบับนี้มียอดเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นตามปัจจัย แต่ส่วนตัวผมไม่พอใจกับงบนี้ เพราะอยากได้เยอะกว่านี้ แต่ติดที่สถานะการเงินของประเทศ และประมาณการรายรับ ซึ่งจะไปชนกรอบวินัยการเงินการคลัง ส่วนหากมีการตั้งงบน้อยกว่านี้จะไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจพัฒนาได้ ดังนั้นการตั้งงบประมาณจำนวนนี้อยู่บนความจำเป็นและข้อจำกัด
สุทิน กล่าวต่อไปว่า “รัฐบาลที่ผ่านมาไม่มีใครอยากกู้เงิน แต่มันมีความจำเป็นตามปัจจัยที่เกิดขึ้น ซึ่งการกู้เงินไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับการจัดทำงบประมาณ เพื่อมาฟื้นฟูเศรษฐกิจและมีความคุ้มค่าในการดำเนินการหรือไม่ และการกู้เงินไม่ใช่ครั้งแรก ในประเทศไทยไม่มีการกู้เงินมีแค่ 2 ปี คือปี 48-49 ในสมัย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ทำงบประมาณแบบสมดุล และที่ผ่านมาได้เห็นการทำงบประมาณของภาครัฐที่ลดลง โดยค่อนข้างเป็นทุกข์กับรายจ่ายประจำที่ค่อนข้างสูง และไม่มีผลไปถึงชาวบ้านและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้รายจ่ายประจำลดลงแม้จะไม่มาก เป็นการเริ่มที่ดีและปีต่อ ๆ ไปต้องลดลงเรื่อย ๆ”
“ส่วนเรื่องของงบการลงทุน ก็พบว่าลดลง ซึ่งความเป็นจริงต้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดความเสียหายหากไม่รู้ว่าลดลงแล้วไปอยู่ไหน จากข้อมูลคือการไปชดใช้หนี้เงินคงคลัง ที่จะทำให้สถานะทางการคลังของเราดีขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในส่วนนี้ ซึ่งหน้าตาโดยรวมของงบประมาณฉบับนี้ ถือว่าสอดคล้องกับสถานะของประเทศปัจจุบันและปีต่อไป ซึ่งถือว่ารับได้
ส่วนงบประมาณนี้จะสอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่นั้น ที่ผ่านมามีหลายรัฐบาลที่ตกม้าตายเพราะไปทำผิดกฎหมาย ที่สำคัญคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการตรวจสอบดูหลายประเด็นมีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและระเบียบวินัยการเงินการคลัง รวมไปถึงการใช้วิธี พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณเพื่อคำนวณรายรับรายจ่าย รวมถึง พ.ร.บ.การจัดการหนี้ภาครัฐ”
“ขณะที่ยุทธศาสตร์ของประเทศและแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศระยะที่ 2 ซึ่งมีการขยายจาก 6 ยุทธศาสตร์เป็น 9 ยุทธศาสตร์ สิ่งที่ผมสนใจและเห็นด้วยในยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์พัฒนาคนไทยให้มีศักยภาพ จากที่มีการวิเคราะห์ศักยภาพในเวทีโลก เด็กไทยน่าห่วง หากวัดด้วยการศึกษาวันนี้แพ้ประเทศเพื่อนบ้าน และดูสภาพสังคมด้านยาเสพติดก็รุมถล่ม ทำให้คนหมดคุณภาพ ซึ่งสามารถทำนายอนาคตประเทศได้ การจัดงบในจุดนี้มีการเพิ่มขึ้น รวมถึงยังมีการเพิ่มด้านความเป็นธรรมในสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งวันนี้คนไทยเจอปัญหา 2 เรื่องคือ ความจน และความเหลื่อมล้ำ”
“ส่วนกรอบที่ 3 งบประมาณฉบับนี้ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาประเทศได้หรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งการจัดงบเปรียบเสมือนการให้ยากับประเทศ เมื่อ 7 เดือนที่แล้ว รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เข้ามาบริหารประเทศได้มีการแถลงนโยบาย ซึ่งผมอยากรู้ว่าจะตีโจทย์ประเทศแตกหรือไม่ หากเปรียบประเทศไทยเป็นคน เขาจะรู้ไหมป่วยเป็นโรคอะไร หากวิเคราะห์โรคผิดจ่ายยาผิดก็จะทำให้ตาย แต่หากหมอวิเคราะห์โรคถูกจ่ายยาถูกก็จะทำให้ฟื้น
ซึ่งจากการแถลงนโยบายที่ผ่านมา ต้องชมว่ารัฐบาลตีโจทย์แตก วินิจฉัยถูก ส่วนการจ่ายยาก็ต้องดูในวันนี้ว่าจัดงบประมาณเป็นอย่างไร หากบอกว่าเป็นโรคไตแต่ไปจ่ายยาเบาหวานก็จะทำให้ตายเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องดูว่ารัฐบาลจัดงบประมาณถูกทิศถูกทางหรือไม่”
วันนี้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนค่อนข้างมองตรงกันว่า เรื่องใหญ่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจและปากท้อง การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังต่ำ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง 80% ของจีดีพี สิ่งนี้เป็นตัวกัดกร่อนและเป็นแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่เห็นในการจัดงบครั้งนี้คือ รัฐบาลทุ่มไปกับเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจำนวนมาก แต่หลายคนมองว่างบประมาณที่จัดอาจจะไม่เพียงพอ ยายังไม่แรง แต่เราต้องเข้าใจว่าการกระตุ้นไม่สามารถใช้งบประมาณรัฐอย่างเดียว ซึ่งต้องมีมาตรการอื่น ๆ เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งรัฐบาลมีการตั้งรับกับการผันผวนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งวันนี้มีความขัดแย้งกันหลายประเทศ อาจจะมีการเกิดสงคราม ซึ่งทำให้เศรษฐกิจโลกหด รวมถึงภาษีทรัมป์ ส่วนในเชิงรุกรัฐบาลพยายามหารายได้ใหม่ การลงแรงซอฟต์พาวเวอร์ที่จะทำให้เกิดรายได้ใหม่ เราไม่งอมืองอเท้ากับรายได้เก่า และงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ทั้งยังได้มีการส่งเสริมเอกชนทั้งในเรื่องการลงทุน การท่องเที่ยว การส่งออก โดยงบประมาณ 3.78 ล้านล้านบาทจะใช้ไปเพื่อหมุนฟันเฟืองในด้านต่าง ๆ ทั้งการส่งออก อุตสาหกรรม เอกชน
สุทิน กล่าวอีกว่า “ส่วนจะเป็นการจัดงบประมาณที่ถูกจุดหรือไม่นั้น สำหรับการจัดงบกลางมีคำถามว่าสามารถรองรับความผันผวนได้จริงหรือไม่ ทั้งเรื่องน้ำแล้ง น้ำท่วม และภาษี อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้ว มีการตำหนิว่าจัดงบกลางมากเกินไป เป็นแบงก์เช็คเพื่อให้รัฐบาลจ่ายได้แต่ตรวจสอบไม่ได้ แต่เมื่อปีนี้งบกลางลดลงก็ถูกตำหนิอีก สำหรับงบกลาง 6 แสนล้านบาท ผมอาจไม่พอใจ แต่สามารถเข้าใจได้ว่าการจัดทำงบประมาณแผ่นดินไม่ได้จบเท่านี้ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นจริง ๆ ก็สามารถทำงบประมาณกลางปีได้”
“ขณะที่หลายคนสนใจเรื่องรายได้เกษตรกร เอสเอ็มอีตกต่ำ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นจริง พบว่ารัฐบาลมี 2 แผนในการแก้ไข คือการใช้งบประมาณแผ่นดินและงบประมาณนอกแผ่นดิน เช่น งบประกันรายได้การเกษตร ข้าว ยาง และส่งเสริมเอสเอ็มอีอย่างเป็นระบบ แต่ยังมีรายได้นอกงบประมาณ การจัดทำซอฟต์โลนร่วมกับธนาคารเพื่อหาสินเชื่อให้กับทางเอสเอ็มอี ทั้งการป้องกันเอสเอ็มอีต่างชาติที่เป็นคู่แข่งของคนในประเทศ”
ส่วนงบกองทัพ ผมก็พอรู้เรื่อง ซึ่งมีการทวงถามถึงการปรับลดขนาดกองทัพ ซึ่งมองว่าการจัดงบยังเยอะอยู่ ในอดีตสมัยผมเป็น รมว.กลาโหม เคยพูดว่าการจัดงบความมั่นคง การจัดงบกองทัพจะแตกต่างจากการจัดงบกระทรวงอื่น เนื่องจากกระทรวงอื่นมีการนำฐานเดิมมาตั้งแล้วบวกเงินเฟ้อเข้าไป แต่เรื่องความมั่นคงและกองทัพจะใช้ฐานเดิมไม่ได้ ซึ่งจะต้องดูถึงฐานคู่แข่งและบริบทโลก ว่าสถานการณ์โลกนั้นไปอย่างไร เข้าสู่โหมดตึงเครียดหรือไม่ จะมีการสู้รบหรือไม่ และจะขยายตัวมาถึงเราหรือไม่ เพื่อนบ้านกับเราเอากัน ซัดกัน หรือยัง ย้ำว่าฐานความมั่นคงไม่ใช่ฐานตัวเลขเดิม แต่เป็นฐานสถานการณ์ หากมีความตึงเครียดต้องจัดงบประมาณเยอะ หากผ่อนคลายก็จัดงบน้อย และยิ่งมีการส่งสัญญาณว่าจะมีเหตุ จะนิ่งนอนใจและจัดงบประมาณ ต้องขอกับทางกรรมาธิการ และต้องทำความเข้าใจกัน ดังนั้นงบส่วนนี้จึงไม่ได้มีความบกพร่อง หากงบส่วนไหนไม่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ สามารถตัดได้ แต่อันไหนเกี่ยวกับยุทธการต้องมีความเห็นใจ
สุทิน ระบุว่า “สุดท้ายกรอบการตอบโจทย์ประเทศ ผมมองว่าทุกรัฐบาลไม่มีใครจะจัดงบประมาณละเลยประชาชน ทุกรัฐบาลอยากจัดงบให้ประชาชนชื่นชม อยากเห็นเศรษฐกิจขยายตัว ให้ประชาชนหน้าชื่นตาบาน กินอิ่ม นอนอุ่น ดังนั้นกรอบงบประมาณนี้จะขอให้ความเห็นชอบและให้กำลังใจ
ส่วนงบประมาณปีนี้จะถูกใจเพื่อนสมาชิกหรือไม่ จากที่มีการประเมินมา 4 วัน เพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่เราเห็นใจข้อจำกัดของรัฐบาล แต่อาจจะไม่ตรงใจบ้างก็เป็นเหตุที่ทุกคนจะต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้ ส่วนที่ไม่ตรงใจอาจจะเป็นเพื่อนสมาชิกฝ่ายค้าน ซึ่งก็สามารถเข้าใจได้ เพราะหากรัฐบาลจัดงบแล้วฝ่ายค้านขึ้นมาชื่นชมจะผิดปกติ แต่หากขึ้นมาตำหนิและรายละเอียดบางอย่างมันเลยเถิด ไม่ถูกกาลเทศะ รัฐบาลต้องแยกแยะและเก็บไปคิด”
เช่น การบอกว่าประเทศไทยเข้าสู่รัฐล้มเหลว ซึ่งควรที่จะต้องพูดอย่างระมัดระวัง เพราะการดิสเครดิตประเทศของตัวเองเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และการทุจริตในหลายเรื่อง บางครั้งยังไม่เกิดขึ้นในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ แต่อาจเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งสามารถเตือนสติกันได้
หากอภิปรายงบประมาณแผ่นดินแล้วพูดเรื่องการทุจริต สิ่งที่ควรพูดคือการตั้งงบในลักษณะนี้อาจไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือมีการหมกเม็ด ซึ่งจะสามารถป้องกันการทุจริต ฝ่ายค้านควรมีมุมมองที่วิตกจริตให้น้อยลง และตั้งอยู่บนโลกของความเป็นจริง ขณะที่รัฐบาลเองก็ต้องรับฟัง ท้ายที่สุดความแตกต่างทางความคิดในสภาฯ แต่จะมีสิ่งที่เหมือนกัน คือการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและมาจากประชาชน
เราอาจมองไม่ต่างกันแต่มีวิธีแก้ปัญหาที่ต่างกัน ด้วยประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพที่ต่างกัน ซึ่งคนเป็นมืออาชีพและไม่เป็นมืออาชีพหรือเป็นมือสมัครเล่น เรื่องเดียวกันก็อาจจะมีการแก้ปัญหากันคนละแบบ แต่หวังว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้จะถูกนำไปพิจารณาในวาระที่สองอย่างรอบคอบ และเข้าสู่วาระที่สาม ก่อนที่จะถูกอนุมัตินำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งผมเห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ เพื่อไปพิจารณาในวาระต่อไป