ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมด้วย มาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ประจำวันที่ 7 ก.ค. โดยมีสาระสำคัญดังนี้
‘สมช.’ มอบอำนาจเต็มให้ ‘ศบ.ทก.’ ดำเนินการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
พล.ร.ต.สุรสันต์ ระบุว่า การรายงานผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ครั้งที่ผ่านมา 4 ก.ค.68 ถือเป็นการประชุมครั้งที่ 6 โดยยืนยันว่า สมช. มีมติมอบอำนาจให้ ศบ.ทก. ดำเนินการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดนให้คลี่คลายลง โดย ศบ.ทก. มีอำนาจเต็มในเรื่องของการกำหนดมาตรการ รวมไปถึงการเพิ่มมาตรการทางสถานการณ์เลวร้าย หรือผ่อนคลายมาตรการทางสถานการณ์ดีขึ้น โดย เน้นย้ำในเรื่องของการหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทหาร
ขณะเดียวกันที่ประชุม สมช. ยังมีการกล่าวถึง การแก้ไขอาชญากรรมข้ามชาติให้มีมาตรการกดดันที่เข้มงวดและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ศบ.ทก. มีขอบเขตหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดนในลักษณะเฉพาะกิจ โดยในมิติของงานปกติยังคงเป็นการทำงานของหน่วยงานตามสายงานปกติ
มาตรการผ่านแดน ยังอนุญาตให้คนในพื้นที่ นักเรียน ผู้ป่วย กลุ่มเปราะบาง เดินทางเข้า-ออกได้ตามหลักมนุษยธรรม
นอกจากนี้ พล.ร.ต.สุรสันต์ ระบุถึง มาตรการการผ่านแดน หรือ จุดผ่านเข้าออก ของประชาชนทั้งสองฝ่ายที่ได้รับอนุญาตทั้งในกลุ่มประชาชนที่พักอาศัยในพื้นที่ ท้องถิ่นที่สามารถเดินทางผ่านเข้าออกเพื่อจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภค หรือแม้กระทั่งกลุ่มเปราะบางที่จำเป็นทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ยังคงอนุญาตให้ดำเนินการผ่านเข้าออกได้เช่นกัน
เช่นเดียวกับกลุ่มนักเรียนนักศึกษา เราคำนึงถึงความเสียหายหากทางนักเรียนไม่สามารถมาศึกษาในสถาบันของตัวเองได้ พร้อมกับการขนส่งเวชภัณฑ์ และผู้ป่วยที่ต้องเข้ามารับการรักษาพยาบาล ที่ ต้องเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม
โดยตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีตัวเลข ผ่อนปรนมาตรการผ่านเข้าออกโดยกลุ่มที่สามารถเดินทางเข้ามาอย่างฝั่งกองกำลังบูรพา มีบุคคลเข้าราชอาณาจักร 212,766 คน กลุ่มประชาชนเดินทางออกจากราชอาณาจักร 206,100 คน ฝั่งกองกำลังสุรนารีมีการเข้าออก 2,454 คน
กระทรวงแรงงาน และมหาดไทย อยู่ระหว่างพิจารณาผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่ใบอนุญาตหมดอายุอยู่ต่อได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม จนกว่าด่านจะปกติ
ส่วนกรณีที่ ศบ.ทก. พยายามมีมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ยืนยันว่า ศบ.ทก.ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการประชุมหารือแนวทางในการผ่อนปรน โดยบูรณาการหารือกับผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงแรงงานและกระทรวงมหาดไทย โดยมีการรายงานความคืบหน้าที่ผ่านมา 4 กรกฎาคม กระทรวงแรงงานโดยกรมการจัดหางาน จัดการประชุมบริหารจัดการของคนต่างด้าวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยพิจารณาการแก้ไขข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นกับคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามมาตรา 64
โดยกระทรวงมหาดไทยจะพิจารณาผ่อนผันแรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตแต่หมดอายุและอยู่ในประเทศไทยอยู่ต่อได้เป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆจนกว่าด่านชายแดนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และภายหลังที่ดังเปิดเป็นปกติให้คนต่างด้าวเหล่านั้นเดินทางออกนอกราชอาณาจักรภายใน 14 วัน ขณะที่กระทรวงแรงงานจะออกมาตรการให้คนต่างด้าวสามารถยื่นคำขออนุญาตทำงานพร้อมเอกสารและหลักฐานการทำงานต่อในทะเบียนอนุญาต โดยสามารถทำงานได้ครั้งละ 90 วันและต้องต่อใบอนุญาตอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน คนต่างด้าวที่มีงานทำอยู่แล้ว สามารถเปลี่ยนนายจ้างและเพิ่มนายจ้างได้ 3 รายตลอดระยะเวลาในพื้นที่จังหวัดที่คนต่างด้าวนั้นได้รับอนุญาตทำงาน โดยผลการประชุมของคณะทำงานที่ผ่านมา กรมการจัดหางานจะนำผลการประชุมเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในวันที่ 8 กรกฎาคม หรือวันพรุ่งนี้ ก่อนที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป โดยหากมีการประกาศของครม.จะมีผลย้อนหลังให้ถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2568
‘กต.’ แจงกรณี ‘กัมพูชา’ ส่งหนังสือถึง UN ขอฟ้อง ICJ ปมเขตแดน โดยไทยได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงและท่าทีไทยไปยังเลขาธิการ UN แล้ว พร้อมขอให้เวียนถึงสมาชิก 193 ประเทศ
ด้าน มาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงมิติการต่างประเทศว่า กลไกภายในกระทรวงการต่างประเทศ ในการบริหารสถานการณ์ขณะนี้ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความตึงเครียดของสถานการณ์ไทยกัมพูชาได้ดำเนินการประสานงานด้านต่างๆ ในมิติการต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง จัดตั้งคณะทำงานระดับกระทรวง เพื่อติดตามสถานการณ์และประสานงานสนับสนุนการบูรณาการภายในกระทรวง และกรมที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึง เผยแพร่ข้อมูลระหว่างกระทรวงกับสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศทั่วโลก
ส่วนกรณีที่ที่ปรากฏรายงานข่าวในสังคมออนไลน์เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับหนังสือของเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ถึงเลขาธิการสหประชาชาติลงเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 แจ้งความประสงค์ของกัมพูชาที่จะฟ้องร้องเกี่ยวกับประเด็นชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ ทางระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการไปที่ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ให้มีหนังสือเช่นกันถึงเลขาธิการสหประชาชาติแล้ว เพื่อชี้แจงถึงข้อเท็จจริง
ตลอดจนท่าทีและการดำเนินการของฝั่งไทย ในเรื่องนี้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมและฝ่ายไทยได้ขอให้เลขาธิการสหประชาชาติเวียนหนังสือชี้แจงของไทยเป็นเอกสารของสำนักงานสหประชาชาติเพื่อให้สมาชิกสหประชาชาติทั้ง 193 ประเทศได้รับทราบเช่นกัน ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจและชี้แจงจุดเดิมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และเมื่อวานนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกข่าวสารนิเทศอีก 1 ฉบับเพื่อชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับท่าทีของไทยและข้อคิดเห็นในเรื่องนี้ เพื่อประโยชน์ของการทำความเข้าใจที่ถูกต้องโดยเฉพาะในพื้นที่สื่อในขณะนี้มีการนำเสนอข้อมูลจำนวนมากจากหลายแหล่ง ซึ่งบางส่วนอาจไม่ได้นำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมด
จึงได้มีการชี้แจงในการดำเนินการของฝ่ายไทย ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา และ จุดยืนของรัฐบาลไทย คือการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาด้วยสันติวิธีภายใต้พันธกรณี 2543 ที่ทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาเขตแดนผ่านการเจรจาภายใต้กลไก JBC