นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ด้านความมั่นคง แถลงภายหลังการประชุม ศบ.ทก.
นิกรเดช กล่าวว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด มีคำสั่งยกระดับการควบคุมการผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งและแนวนโยบายของรัฐบาล เป็นมาตรการที่หน่วยทหารในพื้นที่พิจารณาอย่างรอบคอบ จากการประเมินภาพรวมสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ และเพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
ขอย้ำอีกครั้งว่า มาตรการการยกระดับการควบคุมดังกล่าวไม่ใช่การปิดด่าน อย่างที่มีรายงานข่าวคลาดเคลื่อน ซึ่งขณะนี้ ทุกจุดผ่านแดนยังคงเปิดทำการ ไม่ว่าจะเป็นจุดผ่านแดนถาวร จุดผ่านแดนชั่วคราว หรือจุดผ่อนปรนทางการค้า แต่มีการจำกัดการผ่านแดนที่เข้มข้นขึ้น ทั้งนี้ เป็นการบังคับใช้มาตรการขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จากทั้งหมด 4 ขั้น
— นิกรเดช พลางกูร
นิกรเดช กล่าวว่า ฝ่ายไทยยังคงอนุญาตการผ่านแดนให้บุคคลที่มีความจำเป็น ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม เช่น ผู้ที่ต้องการรับการรักษาพยาบาล นักเรียน และการดำเนินการที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อผักผลไม้ และเครื่องอุปโภคบริโภคในครัวเรือน พร้อมยกตัวอย่างการรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาในจังหวัดสระแก้วและจันทบุรี ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา
พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยยังไม่มีการห้ามส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปยังกัมพูชา ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ตัดสินใจระงับการนำเข้าน้ำมันจากไทย สำหรับฝ่ายไทยมีจุดยืนชัดเจนว่า ต้องคำนึงถึงประชาชนทั้งชาวไทยและกัมพูชา ไม่ให้ตกเป็นผู้รับภาระจากปัญหาระหว่างกัน
นิกรเดช กล่าวอีกว่า “เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีแถลงการยกระดับการปราบอาชญากรรมข้ามชาติ คือการระงับการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสินค้าที่อาจถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายต่าง ๆ”
พร้อมย้ำว่า “มาตรการล่าสุดของฝ่ายไทยเป็นมาตรการที่ดำเนินควบคู่กับการดำเนินการของ ศบ.ทก. ที่มีจุดมุ่งหมายโดยตรงต่อธุรกิจเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเป็นหลัก และไม่ได้มีเป้าหมายไปยังประชาชนทั่วไป แต่เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ”
ตามที่มีการแสดงความเห็นเชิงลบบนโซเชียลมีเดียของฝ่ายกัมพูชา การแสดงความเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคล อย่างไรก็ดี ขอความร่วมมือประชาชนชาวไทยไม่แสดงความเห็นที่เป็นการยั่วยุหรือรุนแรงสุดโต่ง เพื่อไม่สร้างความตึงเครียดเพิ่มเติม และไม่เปิดช่องให้ประชาชนทั้งสองประเทศโจมตีซึ่งกันและกัน
— นิกรเดช พลางกูร
นิกรเดช ระบุด้วยว่า “รัฐบาลยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาตามกลไกทวิภาคี การแสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์ของประชาชน จะช่วยส่งเสริมบรรยากาศของการหาทางออกร่วมกัน”
ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวถึงประเด็นด้านความมั่นคง 3 เรื่อง ได้แก่
1. การดำเนินการของกองทัพ โดยคำสั่งของกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ตามข้อสั่งการของรัฐบาลที่คำนึงถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทั้งสองประเทศ โดยยังอนุญาตให้ผ่านเข้า - ออก แต่บุคคลที่มีความจำเป็น เช่น การส่งออกผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในกรณีเร่งด่วน และการศึกษาของนักเรียน และการดำเนินการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน โดยอาศัยตามหลักมนุษยธรรม
2. มาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบตามพื้นที่แนวชายแดน รัฐบาลใช้กลไกที่มีอยู่แล้ว เช่น กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์สั่งการชายแดนจังหวัด จะประชุมร่วมกับหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และภาคเอกชนในพื้นที่ เพื่อกำหนดแนวทางช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้มีข้อสั่งการให้แรงงานจังหวัด ช่วยเหลือจัดหางานทดแทนสำหรับพี่น้องประชาชน ที่ไม่สามารถเดินทางเข้าแดดได้ ด้านกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวั ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในการหาช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรในพื้นที่ด้วย
3. ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจในทุกรูปแบบไปให้กับกองกำลัง กำลังพล ผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน กองทัพได้จัดเตรียมสถานที่ตามพื้นที่แต่ละหน่วย โดยสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ของกองทัพภาคที่ 1 ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 และศูนย์ประชาสัมพันธ์ของหน่วยนาวิกโยธินในพื้นที่ และสามารถติดต่อข่าวสารต่าง ๆ ในศูนย์เฉพาะกิจชายแดนไทยกัมพูชา หรือทีมไทยแลนด์ โดยเฉพาะรายละเอียดในการส่งกำลังใจไปให้กับกำลังพลตามแนวชายแดน