บริบทไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในระดับที่สูงทั้งด้านส่งออก-นำเข้า-การท่องเที่ยว-ตลาดเงินและตลาดทุนโดยเฉพาะกับประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นตลาดส่งออกหลักแค่ 2 ประเทศ มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 30 ของการส่งออกทั้งหมด ประเทศทั้งสองเป็นมหาอำนาจทั้งด้านเศรษฐกิจและซุปเปอร์พาวเวอร์ เป็นลูกค้ารายใหญ่แถมไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันทำให้ไทยแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจ
ในการต่อรองด้านการค้าและถูกกดดันให้เลือกข้าง ภายใต้สงครามการค้าของศตวรรษที่ 21 ซึ่งไทยต้องพึ่งพาประเทศมหาอำนาจซึ่งต่างสร้างเงื่อนไขเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด การผลักดันขับเคลื่อนส่งออกบนความไม่สมดุลของการเมืองระหว่างประเทศที่ต่างชิงดีชิงเด่นเป็นเรื่องที่ยากละลงตัว
กรณีที่เห็นชัดเจน เช่น การเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนอย่างมโหฬารและต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานยังไม่รวมสินค้าจีนราคาถูกเข้ามาแย่งตลาดทั้งด้าน Offline และ Online กระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน ตามด้วยการหลั่งไหลของคนจีนและทุนจีนที่เข้ามาแย่งอาชีพคนไทยทำธุรกิจทั้งสีขาวและ/หรือสีเทาเป็นภาพที่เห็นอยู่ชินตาและทำอะไรไม่ได้ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเหรียญที่กลับด้านไทยส่งออกได้ดุลการค้าต่อเนื่องมาหลายสิบปี เดือนเมษายนที่ผ่านมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบายภาษีตอบโต้ขาดดุลการค้า (Reciprocal Tariffs) ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าอัตราร้อยละ 36 คงไม่มีทางเลือกต้องประเคนเงื่อนไขดีๆ ให้สหรัฐฯ พอใจแต่การเจรจายังไปไม่ถึงไหนเพราะยังไม่ได้บัตรคิวเข้าพบ
ภายใต้กระแสการค้าระหว่างประเทศภายใต้ 'Trump Trade War' ที่ตั้งภาษีนำเข้าในอัตราสูงแก่ประเทศต่างๆ ขณะเดียวกันกดดันสร้างข้อตกลงให้เพิ่มการส่งออกไปประเทศเหล่านั้นมากขึ้น เสมือนเป็นการย้อนกลับไปสู่ยุคพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ที่แต่ละประเทศเน้นผลักดันส่งออกมากกว่าการนำเข้าเพื่อที่จะได้เปรียบดุลการค้านำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายงานฉบับนี้นำเสนอกรณีศึกษาประเทศสหรัฐฯ และประเทศจีน
กรณีศึกษาประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่ไทยได้เปรียบดุลการค้าต่อเนื่องมาหลายสิบปี สหรัฐฯ ขยับตัวเป็นลูกค้าส่งออกรายใหญ่อันดับ 1 ปีที่ผ่านมามูลค่า 54,956.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 4 เดือน (ม.ค. - เม.ย. 68) มูลค่าสัดส่วนร้อยละ 19.5 อัตราการขยายตัวร้อยละ 25.01 ข้อสังเกตการส่งออกไปสหรัฐฯ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีการเร่งตัวและเดือนพฤษภาคมไปจนถึงกลางมิถุนายนยังอยู่ในอัตราสูงเป็นเพราะผู้นำเข้าในสหรัฐฯ เร่งออเดอร์เพื่อให้ทัน Deadline วันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งครบเวลาต้องเสียภาษีร้อยละ 36 ด้านการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นลำดับ 3 สัดส่วนร้อยละ 6.27 อัตราการขยายตัวร้อยละ 13.34 เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วหดตัวร้อยละ 0.97 หากตัวเลขยังคงที่ปีนี้อาจทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้า 41,980 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการขยายตัวร้อยละ 18.5 และปีพ.ศ. 2567 อัตราการขยายตัวร้อยละ 22.0 คงเป็นประเด็นที่ทางสหรัฐฯ ใช้เป็นข้อต่อรองแลกเปลี่ยนเพื่อให้เขาลดภาษีนำเข้า
กรณีศึกษาประเทศจีน ไทยเสียเปรียบดุลการค้าต่อเนื่องมาอย่างยาวนานหลังวิกฤตโควิด-19 จีนเป็นลูกค้าส่งออกอันดับ 2 สัดส่วนร้อยละ 11.5 และอัตราการขยายตัวร้อยละ 14.3 ปีที่ผ่านมามูลค่า 35,243.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตัวเลขนี้ยังไม่รวมส่งออกไปฮ่องกง) ด้านการนำเข้าอยู่ลำดับที่ 1 สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 28.9 อัตราการขยายตัวร้อยละ 28.55 ข้อสังเกตในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาอัตราการนำเข้าจากจีนสูงผิดปกติเดือนมีนาคมขยายตัวถึงร้อยละ 45.9 และเดือนเมษายนขยายตัวร้อยละ 38.84 เปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ขยายตัวเพียงร้อยละ 9.4 แสดงให้เห็นถึงการนำเข้าเพื่อเป็นวัตถุดิบเพื่อส่งออกให้กับสหรัฐอเมริกา การขาดดุลการค้ากับจีนคาดว่าปีพ.ศ. 2568 ประมาณ 57,690 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราการขยายตัวร้อยละ 27.2 เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าการขาดดุลการค้ากับจีนขยายตัวร้อยละ 23.7
ในช่วงที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 20 ประเด็นคือการขาดดุลการค้ากับจีนมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปียังไม่รวมตัวเลขการนำเข้าสินค้าออนไลน์ตลอดจนการขาดดุลภาคบริการที่คนจีนเข้ามาแย่งอาชีพและแย่งงานคนไทยโดยเฉพาะการนอมินีครอบงำธุรกิจและการสวมสิทธิ์สินค้าไทยซึ่งกำลังถูกสหรัฐอเมริกาเพ่งเล็งให้ไทยแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม การเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะไทยติดอยู่ในกลุ่ม TOP10 ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้า ขณะที่ประเทศจีนไทยกลับเสียเปรียบดุลการค้าอย่างมโหฬารแต่ละปีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตกซึ่งภาครัฐจะต้องมียุทธศาสตร์เป็นวาระแห่งชาติที่จะเข้ามาดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังก่อนที่เศรษฐกิจจะเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามภายใต้ปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันการที่จะให้มีความสมดุลการค้าระหว่างประเทศจึงยากที่จะลงตัว
---------
บทความโดย: ดร.ธนิต โสรัตน์
รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย